วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หลงป่า






มีพื้นที่หลายแห่ง
ที่ฉันและพรรคพวกคณะทำงานสำรวจโครงการชาวเขาเคยขึ้นไปสำรวจ
เพื่อหาพื้นที่ทดลองจัดการศึกษาให้ชุมชน
แล้วต่อมาไม่เลือกให้เป็นพื้นที่ทำงาน  ด้วยเหตุผลต่าง ๆ กันไป

ถึงกระนั้นก็ยังมีบางหมู่บ้าน  ที่แม้จะไม่ได้รับเลือก
แต่ก็ยังคงมีเสน่ห์อยู่ในใจเรา  จนต้องกลับไปเยี่ยมเยียนกันอีกครั้ง

หลายปีถัดมา  หลังการสำรวจคราวแรก
ฉันและเพื่อนผู้นิยมไพร 2-3 คน  จึงออกเดินทางกันอีกครั้งหนึ่ง

เราจะไปบ้านกะเหรี่ยง
(สมัยนั้น ยังไม่ได้ยินใครเรียกชาวกะเหรี่ยงว่า ปากะญอ หรือ ปกากะญอ เหมือนเดี๋ยวนี้)
บ้านที่เราจะไปคือหมู่บ้านทุ่งพร้าว  อยู่ในเขตอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย

ทางเดินขึ้น ต้องใช้คำว่าหฤโหด
จะต้องเดินเท้ากันตั้งแต่หมู่บ้านริมถนนหลวง ที่เรียกว่าบ้านตีนดอย เลยทีเดียว

เดิน  เดิน  เดินและเดิน  จนเหมือนชีวิตนี้จะมีแต่การเดินเพียงอย่างเดียว

ด้วยวัยขณะนั้น   กำลังใจขณะนั้น เราจึงย่ำดอยกันมานักต่อนัก
โดยไม่เบื่อหน่ายหรือเข็ดหลาบ
แม้บางครั้งจะรู้สึกเหนื่อย จนแทบอยากจะขาดใจตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

หากเป็นเดี๋ยวนี้  วัยขณะนี้  กำลังใจขนาดนี้  ฉันรู้ว่าตัวเองไม่มีปัญญาแน่
แม้ในครั้งนั้นก็เถอะ ..ด้วยความที่เคยรู้รสชาติความโหดนั้นมาครั้งหนึ่งแล้ว
ก็ทำให้เรา "แหยง" อยู่ครามครัน
จนต้องว่าจ้างลูกหาบชาวอาข่า ให้ต่างของไปให้
พกแต่ขวดน้ำและของขบเคี้ยวเล็ก ๆ น้อย ๆ
กะว่าคราวนี้ได้เดินตัวปลิวล่ะ

หนุ่มอาข่ากับม้าคนละตัว
บรรทุกสัมภาระคือเป้ใส่เสื้อผ้า  ข้าวสารอาหารแห้ง-สด ทั้งหลาย  เดินนำหน้าเรา
แหงนคอไปเถอะ !
เพราะดอยลูกนี้จะต้องตะกายกันไปอีกนาน...

ฉันกับเซาะ -รัชนีพร  เพื่อนรุ่นน้องที่สนิทกันมาแต่ครั้งที่ทำกิจกรรมค่ายชาวเขาสมัยเรียน
เราสองสาวเดินไป คุยไป สารพันเรื่องราว

เพื่อนร่วมทางอีกคนเป็นหนุ่มน้อยที่อยู่ร่วมโครงการสำรวจตั้งแต่ครั้งแรก
เขาชื่อ "เสียงใหญ่"
ชื่ออย่างนี้รับรองว่าไม่ใช่ชื่อที่พ่อแม่ตั้ง
หากใครได้พูดคุยกับเขาก็จะเข้าใจที่มาของชื่อได้ทันที

เดินไปนานเท่าไรไม่รู้
ชมนกชมไม้และหยุดพักแก้เมื่อย กินน้ำกินขนมกันเป็นระยะ ๆ  จนกระทั่งบ่ายคล้อย
เสียงคุยค่อย ๆ แผ่วจาง อันเนื่องมาจากความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า

เราผ่านหมู่บ้านห้วยป่าเคาะ  เป็นหมู่บ้านชาวอาข่าที่ฉันเคยมาตั้งค่ายกับเื่พื่อน ๆ
เป็นค่ายครั้งแรกในชีวิตนักศึกษา
ความหลังอันอบอุ่นและเป็นสุขของชีวิตกิจกรรม หวนมาให้รำลึกถึง

"อีกไม่ไกลแล้วล่ะ  มาถึงนี่ก็ถือว่า 80 เปอร์เซนต์แล้ว"
เราต่างมีกำลังใจ  กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกครั้ง

จากบ้านห้วยป่าเคาะ  จะมีทางเดินเท้าลัดเลาะไปตามไหล่เขา
ฉันจำได้ว่า  หลังจากเลาะเลียบเขาไปสักระยะหนึ่ง
จะมีทางเดิน ดิ่งลงไปถึงตีนเขา

แล้วเราก็จะเจอลำธารสายเล็ก ๆ  กว้างสัก 2-3 เมตร
เราต้องลุยลำธารนั้นไป

บ้านทุ่งพร้าวจะอยู่เรียงรายริมลำธารแห่งนั้นนั่นเอง

ตะวันเริ่มคล้อยต่ำ
เราเดินไปตามทางโดยไม่ทันได้สังเกตว่าลูกหาบของเราชักไกลห่างออกไปทุกที ๆ

เขาอาจจะรำคาญ
หรืออาจจะคิดว่า มาถึงนี่แล้ว  ยังไง ๆ ก็ไม่หลง

แต่ปรากฏว่าเราหลง !

หนุ่มน้อยคนเดียวในกลุ่ม  ตะโกนเรียกลูกหาบดังก้องป่า
เงียบ...  ไม่มีสัญญานตอบรับ
เสียงใหญ่แค่ไหนก็ช่วยไม่ได้
ทางเดินก็ชักวกวน  วังเวง..

ในที่สุด  เราตัดสินใจหันหลังกลับ  เดินย้อนทางเก่า
ในใจนึกภาวนา  ขอให้เจ้าป่าเจ้าเขา  เทวดาอารักษ์ คุ้มครองลูกด้วยเถิด
สาธุ...

อธิษฐานเสร็จ  ไม่น่าเชื่อว่าเหมือนดูหนังไทย
เราเจอชาวบ้านคนหนึ่ง  โผล่พรวดออกมาจากทางแยกข้างหน้านั่นเหมือนปาฏิหาริย์

เราหลงจริง ๆ  นั่นแหละ  ชาวบ้านชี้มือบอกทาง
โน่นแน่ะ   คนละทิศกับที่เดินมา

พอรู้ทางแน่แล้ว  คราวนี้ก็รีบจ้ำพรวด ๆ  เพราะกลัวจะมืดเสียก่อน
อากาศเริ่มเย็น  เสื้อผ้า อาหาร ไฟฉาย..ฝากไว้ในกำมือลูกหาบจนหมด

ทางเดินเป็นดังที่ฉันบอกไว้ว่าถ้าใกล้ถึง  เราจะดิ่งลงเขาลิ่ว ๆ
ถ้าติดเบรคไม่ทัน  ก็มีหวังเป็นนกปีกหักได้ง่าย ๆ

เมื่อก่อนเคยนึกค่อนขอดอยู่ในใจ ว่าพวกอีก้อหรืออาข่านี่พิลึก
ชอบอยู่ที่สูง  สูงอะไรกันนักหนา
ถ้าใครคิดจะไปบ้านอาข่าบอกไว้ก่อนเลยว่าเดินกันขาลาก

เขาว่า่คนอาข่าชอบอยู่ที่สูงเพราะกลัวผีน้ำ
น้ำไหลอยู่ตีนดอย  อาข่าจึงต้องพยายามหนีขึ้นไปให้ไกลที่สุด
แต่บนยอดดอย อากาศสดชื่นบริสุทธิ์  เย็นสบายกว่าข้างล่าง
วัฒนธรรมแต่ละกลุ่มชน ต่างก็มีเหตุปัจจัย  มีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป

เราพากันลิ่วลงดอย  มายืนหอบแฮ่กเป็นหมาหอบแดดอยู่ข้างล่าง
อีกพักเดียวก็ถึงลำธาร

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกจนได้...

ลำธารที่ฉันจำได้ว่าเป็นสายน้ำสายเล็ก ๆ ที่เคยลุยผ่าน
กว้างอย่างมากก็ไม่เกิน 4 เมตร
ไฉนวันนี้จึงกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่
น้ำขุ่นข้นสีแดงโคลน  ไหลเชี่ยวกรากเหมือนคนโกรธเกรี้ยว

อย่างเรา ๆ นี่ไม่มีทางจะข้ามไปได้เลย..

ฉันยืนงงเป็นไก่ตาแตก
แล้วพ่อลูกหาบตัวดี 2 หน่อนั่น ไปถึงไหน ๆ แล้วก็ไม่รู้

"เอาไงดี ?"   คำถามนี้อึงอลอยู่ในใจ
ใกล้ค่ำเข้าไปทุกที ...
เราสามคนตกอยู่ในภาวะวิกฤตอีกครั้ง

แต่แล้วปาฏิหาริย์แบบหนังไทยก็เกิดขึ้นกับเราอีกจนได้...

ฉันสังเกตเห็นกลุ่มควันไฟสีเทาอ่อน  อ้อยอิ่งเป็นลำขึ้นมาจากพงไม้ด้านหลัง
ห่างจากจุดที่เรายืนอยู่ราว   200  เมตร

"เฮ้ย !  ควันไฟ  ต้องมีคนอยู่"  เราทั้งสามไม่รอช้า
เดินดุ่มไปตามทิศทางที่เห็นกลุ่มควัน  ใกล้เข้าไป ๆ

หากเป็นยามปกติ ฉัีนก็อยากจะบันทึกภาพนั้นไว้...

ภาพที่เราเห็นข้างหน้าก็คือ  กระท่อมไม้ไผ่หลังคามุงจาก หลังยาว
ลักษณะเป็นโรงเรือนมากกว่าจะเป็นบ้านคนทั่วไป
ที่หน้ากระท่อม  มีชายฉกรรจ์ไม่ต่ำกว่า  6-7  นาย
ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน  แต่ละคนหน้าเข้ม
เพ่งมองมายังผู้พเนจรร่อนเร่ทั้งสามเป็นจุดเดียว

เสียงใหญ่นะเสียงใหญ่
ฉันรู้สึกขอบคุณเธอในนาทีนั้น
ถึงเธอจะช่วยอะไรไม่ได้ หากมีอะไรเกิดขึ้น
แต่เธอก็ยังเป็นผู้ชาย ที่ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจมากกว่าที่จะมีฉันกับยายเซาะเพียงสองคน

คำถามที่จู่โจมเข้ามาในนาทีนั้นก็คือ  พวกเขาเป็นใคร?
คนดีหรือคนร้าย ?
แต่จะดีหรือร้าย ตอนนั้นเราก็จนตรอกแล้ว..

ในที่สุดพระเจ้าก็ทดสอบเราจนเหนื่อย

เราได้พบและรู้จักคุณวิทยา  ศรีวิไล  หัวหน้าหน่วยรักษาต้นน้ำในขณะนั้น
ผู้ซึ่งพาลูกน้อง - ชายฉกรรจ์ทั้งหมดนั่นแหละ
มาปลูกสร้างที่ทำการหน่วย เพื่อปฏิบัติภารกิจรักษาป่าต้นน้ำอยู่ตรงนั้น
ได้เพียง 2 วัน !!!

"น้ำกำลังขึ้นครับ"
คุณวิทยาอธิบายปรากฏการณ์ที่ทำให้เรางงเป็นไก่ตาแตกเมื่อครู่

"ลูกหาบสองคนนั่นคงข้ามฝั่งไปก่อนที่น้ำจะขึ้น  พรุ่งนี้เช้าจึงจะข้ามได้ครับ"

ความลับทั้งหมดถูกเปิดเผย

วันนั้นถือเป็นวันที่โชคดีที่สุดในชีวิตของเราก็ว่าได้
หลังจากกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว   ขวัญกระเจิง
หิวโหยและอ่อนล้ามาสุดกำลัง..

รอดตาย...  ได้รับการแบ่งปันอาหาร
ได้ที่พักพิงอย่างดีท่ามกลางอากาศเหน็บหนาว
เต็มตื้นกับน้ำจิตน้ำใจที่ได้มายามทุกข์ยาก

พระคุณนี้จะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต...


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น