วันพุธที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

กลับบ้าน

เมื่อ 30 กว่าปีก่อน ช่วงที่ทำงานการศึกษาชาวเขา

ข้าพเจ้าเคยพาเด็กน้อยคนหนึ่งออกจากหมู่บ้านเล็กๆบนดอย ในป่าลึกของจังหวัดแม่ฮ่องสอน

ฉีกชะตาชีวิตของเขา จากเด็กชายชนเผ่า ชาวป่า มาอยู่ในเมืองแบบ 360 องศา  

หรือว่านี่ก็คือชะตา

ย้อนคิดไป อดรู้สึกใจหายกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปไม่ได้

รู้สึกตกใจอยู่บ้าง ที่วัยหนุ่มสาวของเรา พาเรา"กล้า"ที่จะทำอะไร

แบบที่ผู้ใหญ่บางคนอาจบอกว่า "ไม่คิดหน้าคิดหลัง"

จากวันที่พาเขาเดินลัดเลาะป่าเขาลงมาจากหมู่บ้าน เป็นระยะทางหลายกิโลเมตร

เพื่อมาขึ้นรถโดยสาร และพาไปส่งยังที่หมาย

ข้าพเจ้าไม่เคยพบเขาอีกเลย...

ที่ไม่ได้กลับไปเยี่ยม เพราะเชื่อมั่น หายห่วง คิดว่าเขาได้ไปอยู่ในที่ที่ดี

อยู่กับคนดีๆ คนที่ข้าพเจ้าเชื่อมั่น

........

วันหนึ่ง ไม่นานมานี้ อยู่ๆข้าพเจ้าก็ได้รับโทรศัพท์จาก"เขา"

เด็กชายตัวน้อยในวันนั้น บัดนี้เป็นหนุ่มใหญ่

มีหน้าที่การงานในองค์กรใหญ่ พอเลี้ยงตัวได้

มีครอบครัวและมีลูกเล็กๆ

เขาไปควานหาเบอร์โทรของข้าพเจ้ามาได้อย่างไรไม่ทราบ

ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าโตมาแล้วหน้าตาเขาจะเป็นอย่างไร

เมื่อพูดคุยกันในสายก็ยังนึกถึงแต่ใบหน้าเมื่อวัยเยาว์

ต่างคุยสารทุกข์สุกดิบ ถามไถ่ถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้องบนดอย

พ่อของเขาในยุคที่ข้าพเจ้าขึ้นไปเยี่ยมเยือนนั้น

เป็นผู้นำหมู่บ้านทางจิตวิญญาน ที่พวกเรามักเรียกกันสั้นๆว่า"หมอผี"

เป็นคนเฉลียวฉลาด มองการณ์ไกล 

เดี๋ยวนี้มีถนนหนทางขึ้นไปถึงบนดอยแล้ว การเดินทางไม่ลำบากเหมือนเมื่อก่อน

เขาอยากมาเยี่ยมข้าพเจ้า  บังเอิญช่วงนั้นข้าพเจ้าไม่สะดวกจะรับแขก

เพราะในครอบครัวมีคนป่วย ที่จำเป็นต้องช่วยกันดูแลชิดใกล้

ข้าพเจ้าจึงขอให้เขาชะลอการเดินทางมาหาไว้ก่อน

เมื่อรู้แน่ว่าคงไม่ได้มาเจอในระยะเวลาอันใกล้  

เขาจึงตัดสินใจเปิดคุยยาวเรื่องที่อยากคุยทางโทรศัพท์

..........

"ครูครับ  ผมอยากกลับบ้าน"

ประโยคนี้ตรึงความรู้สึกของข้าพเจ้าไว้นิ่งนาน  แม้เมื่อวางสายไปแล้ว

"ผมอยากกลับบ้านไปดูแลพ่อแม่ อยากไปดูแลบ้าน  ป่าไม้แถวบ้านก็น้อยลงๆ 

ลำห้วยสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก ตอนนี้แห้งขอด  น้ำที่เคยไหลมาจากร่องเขา ก็ไม่มีแล้ว.."

"ชาวบ้านยังปลูกกะหล่ำกันทั้งดอยเหมือนก่อน"

โอ..กี่สิบปีมาแล้ว แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง.. ข้าพเจ้ารำพึงในใจ

"แล้วยังใช้ปุ๋ย ใช้ยาเหมือนเดิมมั้ย" ข้าพเจ้าถาม

"ครับ"

.........

เรานิ่งกันไปหลายอึดใจ

"ผมกำลังลองๆเขียนโครงการดู ว่าจะกลับไปทำอะไรได้บ้าง"

"ดีๆ เอาความคิดของเราให้ชัดๆก่อน" ข้าพเจ้าบอก

เราคุยกันเรื่องโครงการในฝันมากมาย

และร่ำลากันด้วยความหวัง ว่าก่อนกลับบ้านเขาจะชัดเจนในตัวเองก่อนเป็นสิ่งแรก

ว่าอยากจะกลับไปทำอะไรบ้าง

อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า เมื่อ 30 กว่าปีก่อน พระเจ้ากำหนดให้ข้าพเจ้าเป็นคนพาเขาออกมาจากหมู่บ้าน

วันนี้อาจถึงเวลาที่ต้องพาเขากลับไปสู่ภูเขาแล้วกระมัง

ถามตัวเองว่า ทำไมข้าพเจ้าต้องรับภาระที่ดูเหมือนเกินกำลังปานนี้หนอ

คำว่า"กลับบ้าน"เพียงคำเดียว

ช่างแฝงความรู้สึกไว้มากมายหลายชั้น  มีทั้งความโหยหาอาวรณ์

ความเศร้าอยู่ลึกๆ  รวมทั้งความหวังและกำลังใจ

เพราะมนุษย์ต้องมี"บ้าน"  จะอบอุ่นหรือไม่ก็ยังเป็นบ้าน ที่หัวใจลึกๆล้วนปรารถนาการโอบอุ้มใส่ใจ

ทั้งจากญาติพี่น้องและสิ่งแวดล้อม ต้นไม้ ลำธาร ผืนดิน

แม่พระธรณี ที่ให้ชีวิตเรามา

ขอให้เธอได้กลับบ้านสมใจ...

อดคิดถึงวันที่ข้าพเจ้าพาเขาออกจากหมู่บ้าน เดินลงดอยแสนไกลขึ้นมาไม่ได้

"เหนื่อยมั้ยครับ" ข้าพเจ้าถามในช่วงขณะนั่งพัก เพราะเราเหนื่อยแทบแย่

"ไม่เหนื่อยครับ

"คิดถึงบ้านมั้ย"

"ไม่คิดถึงครับ"

เป็นคำตอบหนักแน่น ที่คิดขึ้นมาเมื่อไรก็อดหัวเราะ(ขื่นๆ)คนเดียวขึ้นมาไม่ได้

เพราะรู้ว่าเบื้องหลังของคำตอบอันหนักแน่นเหมือนท่องมานั้น

มีความรู้สึกบางอย่างถูกกดข่มอยู่ลึกๆ

ในวันที่รู้ว่า จะต้องเดินหน้าไปให้สุดทาง...

ขอให้โชคดีนะลูก

แม้ในเมืองจะมีทั้งความโหดร้ายและความสวยสดงดงาม

ที่เธอคงได้ไปซึมซับมาไม่ใช่น้อย เป็นเวลากว่า 30 ปี

หวังว่าการได้ไปจนสุดทางมาแล้ว คงทำให้เธอได้ค้นพบทางของเธอเอง

ที่มีความหมายคุ้มค่าต่อตัวเธอมากที่สุด

แม้จะเป็นทางที่ดูเหมือนย้อนกลับ แต่ก็เป็นการย้อนกลับสู่ชีวิตที่แท้

ขอให้เป็นการกลับเพื่อเกิด..

แล้วครูจะไปเยี่ยม