วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

แม่บ้านชานเมือง (3)




เด็กสาววัยรุ่น รูปร่างอ้วนกลม ใส่แว่นหนา
เป็นลูกสาวเจ้าของร้านขายของชำเปิดใหม่ใกล้ๆ บ้าน
บุคลิกเธอดูเด่น สะดุดตา

ซุปเปอร์สโตร์ริมทุ่งนา
มีทั้งตู้กดน้ำดื่ม และตู้เติมน้ำมันอยู่หน้าร้าน

ฉันขับรถผ่านไปมาหลายรอบแล้วแต่ยังไม่เคยแวะสักครั้ง

บ่ายวันหนึ่ง ขากลับเข้าบ้าน ฉันจอดรถหน้าร้าน
จะลองไปสำรวจว่าร้านใหม่มีอะไรขายให้แม่บ้านชานเมืองอย่างฉันบ้าง

"คุณยายไปไหนมาคะ"  เธอร้องถามอย่า่งคนมีอัธยาศัย
สำเนียงภาษากลาง  ทำให้คิดว่าไม่ใช่คนพื้นถิ่น

ฉันสะดุ้งเล็กๆ ที่ถูกเรียก "ยาย"
แม้จริงๆ จะมีหลานเรียก "ยาย" และ "ย่า" อยู่หลายคนแล้วก็ตาม
แต่ก็ไม่เคยมีบุคคลที่สามที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
เรียกเต็มปากเต็มคำอย่างนี้

เอาเถอะ !  ยายก็ยาย ไม่มีปัญหาหรอกอีหนูเอ๊ย

เธอเป็นเด็กพูดเก่ง  ช่างเจรจา สมเป็นแม่ค้า
และสมลักษณะคนเจ้าเนื้อส่วนใหญ่
ที่มักพูดเก่งและอารมณ์ดี

หาซื้อของที่ต้องการได้แล้วจึงถามเธอกลับว่า
"ไม่ไปโรงเรียนเหรอวันนี้"
เธอส่ายหน้า  ยิ้มน้อยๆ ตอบว่า
"เรียนจบแล้ว"

ฉันประเมินอยู่ในใจว่าอายุเธอน่าจะราว 15-16
จะมาเรียนจบแล้วได้ยังไง นังหนูนี่
จะว่าจบมหาวิทยาลัยแล้วก็ไม่น่าจะใช่

"จบชั้นไหน ?"
"มอหก"
มอหกก็ต้องสิบแปดแล้วสิ

"อ้าว..แล้วไม่เรียนต่อเหรอ"
เธอส่ายหน้าแทนคำตอบ  ยิ้มอีกแล้ว ยิ้มง่ายดีจัง
"ทำไมล่ะ ?"
"ไม่อยากเรียน"  ตอบแล้วก็ยิ้ม

ฉันเก็บความแปลกใจนิดๆ ไว้ในใจ
บ้านเธอก็ดูมีฐานะพอควร พ่อเป็นตำรวจ (ร้านข้างๆบอกภายหลัง)
มีบ้านสร้างใหม่ ที่ต่อเติมด้านหน้าให้เป็นร้านค้า  มีรถ
และต้องมีทุนพอสมควรที่จะทำร้านค้าระดับนี้
แม่ก็ขยันทำโน่นทำนี่ขาย
บางช่วงเห็นมีผลไม้ดองใส่ขวดโหลวางเรียงกันหน้าร้าน ดูน่ากิน

เป็นร้านชำที่มีของมากมาย น่าเข้าไปซื้อ
มีขนมนมเนยหลากหลาย ที่สำคัญมีตู้ไอศกรีม
แม้จะอยู่ไกลเมือง ริมทุ่งนา แต่ก็มีลูกค้าผ่านไปมาตลอด
ร้านน่าจะอยู่ได้

แล้วทำไมไม่ให้ลูกเรียนหนังสือ ?

ดูท่าแม่จะยกร้านนี้ให้เป็นกิจการของลูกสาว
เพราะผ่านไปเมื่อไรก็เห็นเธอนั่งคุมหน้าร้านตลอดเวลา

ก่อนเดินออกจากร้าน ดูเธอจะยังสนใจ"คุณยาย"คนนี้อยู่
เธอถามว่า
"คุณยายขับรถเองเลยเหรอ"  สายตาบ่งบอกว่ายายคนนี้ซิ่งจัง
"คุณยายขับรถเป็นตั้งแต่อายุเท่าไร"

เธออาจจะอยากหัดขับรถ  ฉันเดา
สาวน้อยยิ้มตาหยี โบกมือร่ำลา

หลังจากวันนั้นฉันก็กลายเป็นลูกค้าซุปเปอร์สโตร์ริมทุ่งร้านนี้ไปโดยปริยาย
แม้จะแวะซื้อไม่บ่อยนัก
แต่ร้านของเธอทำให้มีความอุ่นใจ เหมือนมีตัวสำรองอยู่ใกล้บ้าน

วันใดที่ขับรถกลับบ้านแล้วนึกขึ้นได้ทีหลังว่าลืมซื้อของบางอย่าง
ก็ยังอุ่นใจว่ายังมีร้านแม่สาวน้อยคนนี้รออยู่ข้างหน้า
สาวน้อยยิ้มเก่ง และไม่ยอมเรียนหนังสือ
ผู้เป็นเจ้าของกิจการตั้งแต่อายุ 18


ฉันหันมาย้อนถามตัวเองว่า
แล้วทำไมต้องเรียนต่อ
หากเอามาตรฐานการเรียนแบบที่ยึดถือกันอยู่
เธอต้องเสียเวลาให้กับโรงเรียนไปอีกอย่างน้อย 4 ปี
จะได้ความรู้มาแค่ไหนก็ไม่รู้
จะเลือกเรียนถูกทางหรือผิดทางก็ยังกังขา
จะหางานทำได้หรือเปล่า ก็ไม่รู้อีก
อาจเป็นการลงทุนที่หาจุดคุ้มทุนแทบไม่เจอ


เธออาจจะคิดถูกที่ไม่ยอมเรียน(ในระบบ)

ไม่ต้องอาศัยโรงเรียน อาศัยครูแบบที่เราทำๆกันอยู่
คนเราก็สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
ด้วยสื่อต่างๆที่มีมากมาย
ความรู้ที"จำเป็น" ต่อการดำรงอยู่ของชีวิต  ความรู้ที่ทำให้ชีวิตรอดได้
อาจสวนทางกับความรู้ในโรงเรียนที่ตายซาก

การศึกษาที่เป็นอยู่นี่ต่างหากที่เชื่องช้า ไม่ทันการ
กลายเป็นสิ่งล้าหลัง
และยังดูดกลืนพลังคนหนุ่มสาวให้หายไปแล้วไม่รู้เท่าไร
จนกลายเป็นคนครึ่งๆกลางๆ   ขาดๆเกินๆ
แหว่งวิ่นอย่างทุกวันนี้

แม้ไม่รู้ว่าเหตุผลจริงๆที่เธอไม่อยากเรียนคืออะไร

แต่ฉันก็เชื่อว่าสาวน้อยคนนี้เป็นต่อเพื่อนรุ่นเดียวกับเธอไปไกลแล้ว







วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

แม่บ้านชานเมือง (2)










ฉันเป็นคนไม่ชอบทำกับข้าว (เอาเสียเลย)
ถ้าเลือกได้ก็จะขอให้เป็นสิ่งสุดท้ายที่ต้องทำ ในชีวิตแม่บ้าน

แต่พระเจ้าก็ไม่ให้เลือก  พระเจ้าแกล้งฉันมาตลอด
ชีวิตฉันจึงต้องอยู่ในครัวมาตั้งแต่เป็นเด็ก

อยู่ปอสาม ฉันต้องไปจ่ายตลาด
เดินหิ้วตะกร้าจากบ้านไปตลาดที่ห่างออกไปประมาณห้าร้อยเมตร

ซื้อปลาทูเข่งละบาท เข่งละหกสลึง
โหระพา  แมงลัก กำละห้าสตางค์ สิบสตางค์
ภูมิใจมากที่ยังทันใช้เหรียญห้าสตางค์ สิบสตางค์

อายุแปดขวบ ฉันทำกับข้าวให้คนในบ้านกินได้แล้ว
ก็ทอดไข่ ทอดปลา ตำน้ำพริก
หรูหน่อยก็ต้มยำทำแกง

ที่จำได้มาถึงเดี๋ยวนี้คือเพื่อนของน้ามาบ้านแล้วตกใจ
ที่อีเด็กผอมดูขี้โรค หัวโต คนนี้เป็นคนทำกับข้าวให้กิน

ตอนนั้นเราอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่
ญาติพี่น้องเต็มบ้าน หลายพ่อหลายแม่ มาสุมหัวรวมกันอยู่
ทั้งหมดมาอยู่รวมกันเพื่อให้ได้เรียนหนังสือในเมือง
ก็ช่วยกันทำ ช่วยกันกิน
อึกทึกคึกโครม ตามประสาครอบครัวขยาย

ทุกคนต้องช่วยตัวเอง ซักเสื้อผ้า รีดเสื้อผ้าเอง
และช่วยกันทำงานส่วนรวม
เช่นรองน้ำจากก๊อกใต้ถุนบ้าน
หาบขึ้นไปใส่โอ่งต่างๆ ที่ต้องใช้บนบ้าน ทั้งในครัว ในห้องน้ำ
ไม่ได้มีก๊อกไปทุกที่เหมือนเดี๋ยวนี้

ช่วยกันทำกับข้าว  หาอยู่ หากิน
เมื่อผักผลไม้ในบ้านสุกแก่ ก็ต้องช่วยกันเก็บ
และช่วยกันเอาไปขาย
มะขามเทศหวาน เอาตอกมาร้อยเป็นพวง ใส่ถาดไปขายที่ตลาด
ขายพวงละสลึงบ้าง  ห้าสิบสตางค์บ้าง

เมื่อโตขึ้นเป็นวัยรุ่น ไม่ได้อยู่รวมกันในบ้านใหญ่แล้ว
ครอบครัวฉันก็ยังประกอบอาชีพขายอาหารอีก

แม่เคยเปิดร้านขายข้าวแกง  ขายดีมากๆ
ถึงแม้ฉันจะไปเรียนหนังสือที่อื่น
แต่เมื่อปิดเทอมกลับบ้านก็ต้องช่วยงานทุกอย่าง
ยังจำความเหน็ดเหนื่อยเหล่านั้นได้ดีไม่มีลืม

พี่ปาง หัวหน้าแม่ครัวของแม่ต้องตำพริกแกงจนดึกดื่นทุกวัน
ไม่มีเครื่องปั่นเหมือนยุคหลังๆ
ครกหินใบเบ้อเริ่ม  ตำกันสนั่นหวั่นไหว
พลาดเผลอพริกกระเด็นเข้าตาก็เดือดร้อนอีก
ถ้วยชามใช้แล้วกองพะเนินเทินทึกในกะละมังใบใหญ่
นั่งล้างกันหลังบ้านหลังขดหลังแข็ง

ฉันเคยบอกแม่ว่า
ชีวิตนี้จะไม่ยอมประกอบอาชีพขายอาหารเหมือนแม่เด็ดขาด
เพราะเหนื่อยเหลือเกิน
และเพราะฉันไม่ชอบทำอาหาร


ต่อมาเมื่อมีครอบครัว ฉันก็ต้องเป็นคนทำอาหารอยู่ดี
เลี่ยงไม่ได้จริงๆ

ฉันอดคิดถึงเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งขึ้นมาไม่ได้
เธอเล่าว่าก่อนแต่งงาน เธอบอกกับว่าที่สามีว่า ฉันทำอะไรไม่เป็นเลยนะ
ฝ่ายชายไม่ติดใจ ยอมรับกติกา พวกเขาจึงแต่งงานกัน

แล้วเธอก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ  เธอทำอะไรไม่เป็นเลย
ฉันไปเยี่ยมเธอที่บ้าน หลังเธอคลอดลูกไม่กี่วัน
เห็นสามีกำลังนั่งซักผ้าอ้อม
สามีทำงานบ้านทุกอย่างโดยไม่ปริปากบ่น  แล้วยังทำกับข้าวให้กินด้วย
เป็นสามีที่ประเสริฐจริงๆ

ฉันคิดในใจว่าทำไมเธอช่างโชคดี มีบุญเช่นนี้

ส่วนฉันยังต้องเป็นนางก้นครัวตลอดมา
พระเจ้าคงจะทดสอบฉันไว้แล้วหลงลืม แถมไม่มีตัวช่วย
ฉันจึงเป็นนางก้นครัวที่ทำกับข้าวไม่อร่อย

แม้จะไม่มีเสน่ห์ปลายจวัก
แต่ลูกผัวไม่มีทางเลือก  จึงจำต้องกิน
และแม้จะยังไม่เคยรู้สึกรักชอบการทำอาหารขึ้นมาสักนิด
ฉันก็ยังต้องทำ เพราะมันเป็นหน้าที่ที่เลี่ยงไม่ได้

แต่จะว่าไม่มีตัวช่วยเลยก็ไม่ได้
เพราะมีอาหารบางร้านทำได้อร่อย สะอาด และราคาไม่แพง
ที่ต่อมาก็ผูกมิตร  ผูกถุง เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันยาวนาน
ฉันจึงเป็นแม่บ้านอาหารถุงบ้าง ทำเองบ้าง
แล้วแต่เหตุและปัจจัย

ต่อมาเมื่อพ่อบ้านพอมีเวลาที่จะปลูกผักกินเอง
เราจึงต้องพยายามคิดสรรเมนูไม่ให้ซ้ำซาก
เพื่อจะกินผักที่เราปลูกเองให้ตลอดรอดฝั่ง
เช่นช่วงนี้ถั่วลันเตาเริ่มหมด
ถั่วฝักยาวทะยอยออกฝักพรึ่บพรั่บ เยอะกว่าถั่วลันเตาหลายเท่านัก

ทั้งกินเองทั้งแจกญาติพี่น้อง
เป็นที่พออกพอใจของทุกคน
เพราะถั่วฝักใหญ่หวานกรอบ เด็ดกินได้ทันทีอย่างสบายใจ
ผัดถั่ว ผัดพริก ตำถั่ว ต้มถั่ว จิ้มน้ำพริก วนเวียนหลายรอบแล้วในเดือนนี้
มีกติกาข้อเดียวคือ ห้ามเบื่อ

การมีผักกินเอง ไม่ต้องซื้อกินเป็นสิ่งที่วิเศษอย่างยิ่ง
เพราะผักตามตลาดมีภาพลักษณ์ที่น่ากลัวเหลือเกิน
ฉันไม่ได้ซื้อคะน้า กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาวจากตลาดมานานมากแล้ว
เพราะรู้ว่าสารเคมีตกค้างสูงมาก
แม้แต่พริกขี้หนูและมะนาวก็ไม่มีข้อยกเว้น

เมื่อปลูกผักกินเองได้แล้ว
ฉันจึงต้องกลับมาสู่โหมดการทำอาหารเองเป็นหลักอีกครั้ง

นี่อาจจะเป็นบททดสอบบทใหม่จากพระเจ้า
และถ้าพระเจ้ายังถามฉันด้วยคำถามเดิมว่า
เธอชอบการทำอาหารขึ้นบ้างหรือยัง

ฉันก็จะตอบว่า "ไม่"
ว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตาคว้าตะหลิวต่อไป


การปลูกผัก  จริงๆแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย
และต้นทุนการทำเองก็สูงกว่าซื้อเขากินทีละห้าบาทสิบบาทมากนัก

แพงกว่า  เพราะต้องใช้เวลา ให้การดูแลเอาใจใส่
คนชอบแต่งตัว ไม่ชอบเข้าดินเข้าหญ้า รังเกียจมือดำ ตีนดำ
ขอแนะนำว่าซื้อเขากินดีกว่า

เป็นงานที่ต้องขยันและต้องอดทน
ต้องรดน้ำสม่ำเสมอ  ต้องดูแล
เข้าสวนทียุงรุมเป็นร้อย
หน้ามัน เหงื่อโทรม กระเซอะกระเซิง

งานที่ได้ลงมือลงแรงแบบนี้
แม้จะเป็นงานที่ดูลำบากสำหรับบางคน
แต่ผลลัพธ์ต่อชีวิตและจิตใจนั้น  สำหรับฉันคุ้มค่า
ส่วนใครอยากรู้ว่าคุ้มค่าอย่างไร...

ต้องเริ่มต้นทำเอง....แล้วจะรู้