วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557

มธุไร - Madurai



กลับจากเทวาลัยป้อมหินมาเช็คเอาท์จากโรงแรมมธุรา
แวะกินอาหารกลางวันที่ร้านใต้ถุนโรงแรม ร้านเดิมที่กินเมื่อวาน
เป็นอาหารอินเดีย และเป็นร้านมังสวิรัติ
ที่นี่เต็มไปด้วยร้านมังสวิรัติ

ประทับใจการเสริฟ ที่พนักงานจะถือใบตองสดๆใบใหญ่มาวางให้คนละใบ แทนจาน
แล้วตักข้าว  วางแกงบนใบตอง ถ้าประเภทน้ำเยอะก็ใส่ถ้วย
คนของเขากินด้วยมือกันอย่างเอร็ดอร่อย
ทางร้านจะมีอ่างล้างมือไว้ให้ลูกค้า
แต่คนต่างถิ่นอย่างเรา เขาให้เกียรติโดยการให้ช้อน(กาแฟ)คนละคัน
และบางร้านก็วางใบตองไว้บนถาด






                                ถ้วยแกงหลากหลายอย่าง  สีขาวๆมีรสเปรี้ยว น่าจะเป็นโยเกิร์ต

                                 
                                ถ้วยนี้เป็นข้าวหมก บิริยานิ - Biriyani  มีรสจืดๆและใส่เครื่องเทศหลายชนิด




                                  ขอถ่ายภาพรีเซฟชั่นของโรงแรมมธุราตอนเช็คเอาท์


กินข้าวอิ่มแล้ว เดินลากกระเป๋าไปขึ้นรถที่สถานีขนส่ง
ขณะนั้นราวบ่ายโมงเศษๆ
ค่ารถโดยสารคนละ  73 รูปี  ระยะทาง  160  กิโลเมตร
ใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ

สถานีขนส่งมธุไรอยู่ห่างตัวเมืองราว 7  กิโลเมตร
ต้องนั่งรถต่อไปที่ขนส่งในเมืองอีกทอดหนึ่ง - จำราคารถเมล์ตรงนี้ไม่ได้

จากขนส่งในเมืองเดินไปโรงแรมทมิฬนาฑู ใกล้นิดเดียว
ลงทะเบียนพัก ได้ห้องพัดลมห้องใหญ่มี 4 เตียง
ราคา 900 รูปี บวกภาษี 10%  เป็น 990  รูปี




ห้องพักกว้างมาก  บรรยากาศคล้ายบ้านฝรั่งโบราณ
หรือคล้ายห้องพักของวายเอ็มซีเอ.ที่เคยพักที่เชียงใหม่
แต่ห้องนี้จะพักได้เพียงคืนเดียว เพราะมีคนจองไว้แล้ว
จึงต้องย้ายไปอีกห้อง ซึ่งเล็กกว่าเดิมหน่อย

คืนนี้ได้โอกาสซักเสื้อผ้า เพราะห้องกว้าง ตากผ้าได้สบาย

หลังจากเก็บของ อาบน้ำอาบท่าก็ออกมาเดินกันต่อไป
ก่อนจะต่อรถไปเทวาลัยมีนักษี  ก็เดินสำรวจร้านอาหารแถวท่ารถ
พบร้านโรตี  (แป้งย่าง ไม่รู้บ้านเขาเรียกอะไร เราเรียกโรตีไว้ก่อนจนติดปาก)
อยู่มธุไร 2 คืน สรุปกันเป็นเอกฉันท์ว่าตั้งแต่มาทมิฬ ผ่านอาหารมาหลายร้าน
ร้านนี้อร่อยถูกปากไทยพลัดถิ่นอย่างเราที่สุด

มื้อนี้เราสั่งโรตีและไข่เจียวคนละชุด บางคนเพิ่มโรตี
มีแกงไก่ คล้ายๆแกงกะหรี่ เข้มข้น รสชาติดี
ที่นี่ไก่เป็นของแพง หายาก
บ้านเมืองเขาไม่ได้มีธุรกิจฟาร์มไก่มากมาย จนกินไก่กันล้นเหลือเฟือฟายแบบบ้านเรา
และไข่เจียวที่เรากินเกือบทุกมื้อก็เป็นไข่เป็ดทั้งสิ้น
ยังไม่ได้เห็นไข่ไก่เลย
มื้อนี้ราคา 93 รูปี (วันรุ่งขึ้น 118 รูปี)




                                             โรตีและไข่เจียว เจ้าสุดอร่อยของเราอยู่ที่มธุไร


                                                 
                                                 แกงกะหรี่ไก่ กินกับแป้งย่าง  อร่อยไม่รู้ลืม


                                                      ขายดีหรือไม่ดี ดูถังใส่แป้งย่าง


                                          คนทำเป็นปลื้มเมื่อชมว่าอาหารอร่อยสุดยอด


                                            เจ้าของร้าน คนหันหน้าออก นั่งคุยกับลูกค้า






วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เทวาลัยป้อมหิน - Rockfort Temple








14  ตุลาคม 2555

ขึ้นรถเมล์จากหน้าโรงแรมเพื่อจะไป เทวาลัยป้อมหิน  Rockfort Temple
ลงรถเมล์แล้วต้องเดินเข้าไปในถนนย่อยอีกเป็นกิโล
สองข้างทางเป็นร้านขายของ คึกคักมาก
ผ่านห้างสรรพสินค้าใหญ่โตชื่อ  Sarathas  (แวะซื้อส่าหรีตอนขากลับ)















เทวาลัยป้อมหิน เสียค่าเข้าชมคนละ 5 รูปี  ค่ากล้องถ่ายรูป 20 รูปี
(ต้องฝากรองเท้า แต่เราพกใส่ถุงค่อบแค่บไปเช่นเคย)
เดินขึ้นบันไดสูงมาก หอบแฮ่กเลย (แค่ 200 ขั้น)
เดินสวนกับคนอินเดียทั้งที่ขึ้นไปและลงมา เดินกันขวักไขว่ตลอดเวลา









                             
                                          เจอเครื่องหมายสวัสดิกะระหว่างเดินขึ้นบันได


เทวาลัยป้อมหิน สร้างขึ้นจากหินธรรมชาติ  มีอายุหลายพันปี
ตั้งอยู่พื้นที่ตอนกลางของเมือง  สูงถึง 83 เมตร
มีเทวาลัยตั้งอยู่ 2 แห่ง คือเทวาลัยพระศิวะ และเทวาลัยพระคเณศอยู่บนยอด
จากยอดเทวาลัยจะมองเห็นเมืองตริชี่  แม่น้ำเกาเวริ และเทวาลัยศรีรังคนาถ



















   
                              ขากลับแวะชมห้าง Sarathas  ซื้อส่าหรีมาคนละผืนสองผืน  ราคาถูกมาก


 
                               ถ่ายภาพนี้ระหว่างยืนรอรถเมล์  เห็นมีป้ายโฆษณา Book Fair แต่ไม่มีโอกาสไป


     
                                 หลงรักรถคันนี้จับใจ  รถตำรวจเมืองตริชี่  สุดยอดไร้เทียมทาน




ศาสนธานีศรีรังคาม



จากตลาดคานธี   ขึ้นรถเมล์ตั้งใจจะไปศาสนธานีศรีรังคาม
ระหว่างทางเจอโบสถ์คริสต์หลังใหญ่ เลยลงรถเมล์  แวะเข้าไปดูหน่อย







นั่งในโบสถ์พักใหญ่ จึงออกมาต่อรถเมล์หน้าโบสถ์
รถเมล์แน่นมาก  สภาพเหมือนรถเมล์ร้อนในชั่วโมงเร่งด่วนที่กรุงเทพฯบ้านเรา
ค่าโดยสารคนละ 4 รูปี

ถึงศรีรังคาม
เป็นศาสนธานีที่ใหญ่โตอลังการมาก
ถือเป็นเทวาลัยฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย
มีกำแพงล้อมถึง 7 ชั้น
คนต่างศาสนาเข้าไปได้เพียงประตู (โคปุรัม) ที่ 4
ลึกเลยไปกว่านั้นเข้าได้เฉพาะชาวฮินดู











ระหว่างทางเข้าไป มีร้านค้าขายเครื่องบูชาเทพเจ้ามากมาย
กำแพงชั้นที่ 4  ต้องเสียเงินค่าเข้าไปคนละ 10 รูปี
(มีจุดชมวิว ต้องขึ้นบันไดไป)
ข้างในมีวิหารเสาพันต้น
ชาวฮินดูเข้าไปทำพิธีไหว้เทพเจ้ากันเนืองแน่น
เหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันปกติของพวกเขา


                             วัวตัวนี้เดินอยู่ตรงทางเข้า ผู้คนแต้มสีทั่วตัว ทาเขา แสดงความนบนอบ


กำแพงชั้นนี้ต้องถอดรองเท้าฝากไว้ด้านนอก
และด้วยประสบการณ์ของผู้นำทางของเรา
ที่บอกให้พกถุง "ค่อบแค่บ" ขนาดใหญ่หน่อยติดกระเป๋าไว้เสมอ
ก็เพื่อใส่รองเท้า และพกเอาติดตัวเข้าไปด้วยนี่เอง






ช่วงที่นั่งพัก มองดูผู้คนเดินไปมาอยู่ข้างใน มีคนเข้ามาถามว่าเรามาจากไหน
พอบอกว่าไทยแลนด์ เขาบอกเราว่าวันนี้ก็มีปริ๊นเซสจากไทยแลนด์มาที่นี่ด้วยนะ
ถามชื่อปริ๊นเซสเขาก็ไม่รู้เรื่องแล้ว
เลยไม่รู้ว่าเป็นองค์หญิงท่านไหนเสด็จมา

ออกจากศรีรังคามราว 6 โมงเย็น
รอขึ้นรถเมล์กลับที่พัก  คนเยอะมากๆ
ป้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหา  ส่งภาษา ฟังกันไม่รู้เรื่อง แต่ก็เดาความหมายได้
ว่าขอฝากกระสอบใบโตสองใบนี้หน่อยนะ  แล้วนางก็วิ่งจู๊ดหายไปเลย

สักพักใหญ่นางกลับมาพร้อมสามล้อคันหนึ่ง
นางทำท่ามองหาเราอยู่  จะขอบคุณหรือไงไม่รู้
เรามายืนพิงราวเหล็กด้านหลัง ถัดจากจุดเดิมหน่อย นางคงจะมองไม่เห็น










วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ตริชี่ ( Trichy)



13 ตุลาคม 2555

นอนที่มามัลละปุรัม 2 คืน  วันนี้เราจะไปเมืองตริชี่ (Trichy)
ชื่อที่มาจากชื่อเต็มว่า  ติรุชชิรัปปัลลิ  (Tiruchirapalli)
เป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าของรัฐทมิฬนาฑูอีกเมืองหนึ่ง

เราตื่นกันแต่เช้ามืด
ฉันลุกไปอาบน้ำตอนตี 3 กว่าๆ
ต้มน้ำชงกาแฟกินกันคนละแก้ว

ออกจากโรงแรม Sri Murugan ราวตีสี่ครึ่ง
เดินลากกระเป๋า แบกเป้ไปตามถนนที่ยังเงียบสนิท เพื่อไปรอรถที่ท่ารถ
ถ้าเป็นบ้านเราหมาคงเห่าเกรียว  แปลกดี หมาที่นี่ไม่ยักกะเห่า



                                                 
                                                     ผู้โดยสารที่รอขึ้นรถคันเดียวกับเรา
                                                 

รถโดยสารคันที่เรารอ ควบปุเลงๆมาถึงเกือบๆตี 5
มีผู้โดยสารรอขึ้นคันเดียวกับเราจำนวนหนึ่ง
พอคนขึ้นรถหมด รถก็ออกเลย ไม่มีการจอดแช่

เรากำลังมุ่งหน้าไปที่สถานี เชงกาลาปั๊ดตู (ชื่อน่ารักดี)
มีกระเป๋า(ชาย) เดินมาเก็บเงินค่าโดยสาร  คนละ 15 รูปี
ใช้เวลาวิ่งราว 1 ชั่วโมง
คนขับอารมณ์ดี  เปิดเพลงภารตะดังลั่น
ขับผ่านทุ่งนาป่าเขา  ที่เริ่มมองเห็นรางๆ ฟ้าเริ่มสางแล้ว
อากาศยามเช้าเย็นสบาย

ลงรถที่เชงกาลาปั๊ดตู  ใหญ่เดินไปถามนายท่าถึงที่ๆจะไป
เขาให้เราเดินตามกระเป๋ารถคนหนึ่ง ที่ยืนอยู่ตรงนั้นพอดี
พาเราขึ้นรถเมล์ของเขา  เขาจะไปส่งที่ main road ให้
คิดค่าโดยสารคนละ 5 รูปี

จุดที่เขาจอดให้เราลงลักษณะเหมือนด่านขึ้นทางด่วนบ้านเรา
ถนนกว้างหลายเลน
เราถามผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนรอรถอยู่ว่าเราจะไปตริชี่ ต้องรอรถฝั่งไหน
เขากำลังจะไปเจนไน  ซึ่งสวนทางกับเรา
แต่ก็ยังอุตส่าห์พาเราเดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง
และรอจนกระทั่งรถคันที่จะไปตริชี่ผ่านมา  ส่งเราขึ้นรถแล้วจึงข้ามฟากกลับไป
โอ๊ย..ได้ใจเราไปเต็มร้อย   น่ารักมากๆ

รถเมล์ไปตริชี่ว่างมาก  ถนนสวยงาม เกาะกลางถนนปลูกดอกไม้
ออกดอกสลับสีกันไปตลอดทาง




ระหว่างทาง รถจอดให้พัก เข้าห้องน้ำห้องท่า
มีร้านน้ำชาและอาหารว่าง
เรากินชาร้อนและขนมทอดๆ ประมาณปาท่องโก๋  ซาลาเปา  กะหรี่พัฟ จนอิ่มแปล้







                                                โฉมหน้ารถคันที่เรานั่งไปตริชี่

รถใช้เวลาวิ่งเกือบ 4 ชั่วโมง  ระยะทางจากมามัลละปุรัมถึงตริชี่ ราว  280 กิโลเมตร
ค่าโดยสารคนละ  170  รูปี
ถึงตริชี่ ราว 11 โมง

รอบๆ สถานีขนส่งเต็มไปด้วยโรงแรม
ผู้คนขวักไขว่หนาแน่นแบบเมืองใหญ่
เราเดินเลือกที่พักอยู่พักหนึ่ง  และตัดสินใจเลือกโรงแรมชื่อ มธุรา
ห้องพักราคา  1300 รูปี

เก็บของเข้าที่พักแล้ว  กินอาหารอินเดียที่ใต้ถุนโรงแรม
จากนั้นออกมานั่งรถเมล์ สาย 1  ไปตลาดคานธี
ตลาดคึกคักมาก  เป็นตลาดพืชผักผลไม้ ดอกไม้  คล้ายปากคลองตลาดบ้านเรา แต่เล็กกว่า
พืชผัก ผลไม้ อุดมสมบูรณ์
แต่เห็นผักผลไม้บางอย่างแล้วอดสงสัยไม่ได้ว่าน่าจะมาจากจีน
เช่นแอปเปิล  หอมกระเทียมที่หัวใหญ่มากๆ















ข้อสังเกตประการหนึ่ง
เราแทบไม่เห็น "แม่ค้า"  เห็นแต่ "พ่อค้า"
แม้กระทั่งขายดอกไม้  นั่งร้อยมาลัยก็เป็นพ่อค้าทั้งสิ้น













หนุ่มอินเดียชอบถ่ายรูป  ไปตรงไหนก็กวักมือเรียกไปถ่ายรูปให้หน่อย
หนุ่มขายดอกไม้เขียนชื่อ ที่อยู่ยื่นให้เสร็จสรรพ
บอกว่าถ่ายแล้วช่วยอัดส่งมาให้ด้วยนะ
ใหญ่ เพื่อนผู้แสนดีของเราทำหน้าที่ตรงนี้ไปแล้วเรียบร้อย



                               วัวมีอยู่ทุกที่  ไม่มีใครทำร้ายหรือลักขโมย  มีชีวิตอยู่ร่วมกับคนอย่างสันติสุข