วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

ฟิตคาราล








ฟิตคาราลเป็นธุรกิจของสองผัวเมียชาวฝรั่งเศส อายุราว 50 เศษ  สูบบุหรี่จัดทั้งคู่
ทำธุรกิจประเภทซื้อมาขายไป  ค้าขายกับคนไทยมานานหลายปี

ช่วงปี 2539 -2540  เป็นช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง
ธุรกิจของเรายังลุ่ม ๆ ดอน ๆ เหมือนธุรกิจอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบ

ไม่มีคำสั่งซื้อใหม่ ๆ จากลูกค้า
ลูกค้าที่สั่งของ ส่งของไปให้แล้วก็ยังไม่ยอมจ่ายเงิน
เงินหมุนเวียนเริ่มฝืดเคือง จนต้องวิ่งเต้นขอขยายสินเชื่อกับธนาคารอีกรอบ

เราทดท้อและคิดว่างานหัตถกรรมอย่างเราไม่น่าจะอยู่รอดได้อีกแล้ว

แต่แล้วสองผัวเมียจากฟิตคาราลก็โผล่เข้ามาหาเราในค่ำวันหนึ่ง
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราไม่เคยรับแขกลูกค้าคนไหนมาก่อน

คนที่พาฝรั่งสองคนผัวเมียนี้มาคือ "เอ"  เด็กสาวผู้มีบุคลิกเงียบขรึม
แต่ความสามารถทางศิลปะของเธอฉกาจนัก
เธอเป็นดีไซน์เนอร์ให้บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในเชียงใหม่
วันนั้นจึงมีเอ ซึ่งเป็นทั้งคนชักนำและคนนำทาง 
และ "สุกอน" เจ้าของบริษัทที่เอทำงานอยู่ด้วย เป็นคนขับรถ

ฝรั่งตื่นเต้นมากกับตัวอย่างสินค้าที่เห็น และเริ่มเจรจาซื้อขายทันที
สินค้าที่สั่งมีสองส่วน  คือส่วนสินค้าที่เรามีอยู่เดิม เป็นแบบมาตรฐาน พื้น ๆ
เช่นสมุดแบบต่าง ๆ  ชุดจดหมาย
กับอีกส่วนคือแบบที่ฝ่ายฟิตคาราลเป็นคนออกแบบ

ในช่วงออกแบบมีการทดลองผลิต  ส่งกลับไปมาเพื่อดูผลงาน
จนกว่าจะพอใจได้ข้อสรุป ทั้งรูปแบบและจำนวนการสั่ง

ช่วงนั้นสองผัวเมียจะอยู่เมืองไทยนานนับเดือน
ถ้าไม่อยู่เชียงใหม่ก็ลงไปภูเก็ต หรือสมุย 
เมืองท่องเที่ยวที่คนไทยไม่มีโอกาสได้สัมผัส ถ้าไม่มีเงิน
หรือไม่ก็ข้ามไปลาว เวียตนาม อินเดีย
รอเราทำตัวอย่างและตัดสินใจสั่งของ
ติดต่อธุรกิจอื่น ๆ ของเขาและเที่ยวไปในตัว  ใช้ชีวิตน่าอิจฉาจริง ๆ

งานที่คาเมน ฝ่ายภรรยาเป็นคนออกแบบ  เป็นงานสไตล์ผู้หญิงออกแนวหวาน  
มีโบว์แก้ว  ลูกปัด  ไข่มุก ตุ้งติ้ง  ผ้าโปร่ง แม้กระทั่งเปลือกหอย เป็นส่วนประกอบ
ซึ่งผู้ผลิตฝ่ายชายของเราไม่ค่อยชอบใจนัก
เขาชอบแบบที่ดูหนักแน่น ฟิตแอนด์เฟิร์ม  เช่นสมุดใบไผ่  สมุดพับ
ที่ทำจากกระดาษเนื้อแน่น เรียบกริบ  สมุดที่เปิดใช้ได้อย่างสะดวก
บอกฝีมือประณีตแบบหนักแน่นของคนทำ

แต่ก็ยอมประนีประนอมเข้าหากัน
โดยมีงานทั้งสองลักษณะในการสั่งซื้อครั้งหนึ่ง ๆ

การติดต่อระหว่างเรากับฟิตคาราลจะผ่านสุกอน
ทั้งในแง่การส่งของ ที่สุกอนจะติดต่อชิปปิ้งเอง
เพราะฟิตคาราลสั่งของจากผู้ผลิตหลายราย
สุกอนทำหน้าที่เป็นเทรดเดอร์  รวมทั้งเรื่องการจ่ายเงินค่าสินค้าให้ผู้ผลิตทั้งหลายด้วย

แล้วสุกอนก็สร้างปัญหาให้เราจนได้ 
จากการเอาเงินไปหมุนก่อนแล้วไม่ยอมจ่าย  หรือจ่ายช้ามาก
สุกอนจะใช้เทคนิคการถ่วงเวลา  กระทั่งมีคำสั่งซื้องวดใหม่มา
จึงจะยอมปล่อยเงินก้อนเก่าให้

แรก ๆ เราไม่กล้าบอกฝรั่ง ด้วยความคิดโง่ ๆ ว่ากลัวฝรั่งดูถูกคนไทย
ว่าเรื่องแค่นี้พวกมันก็ยังเอาเปรียบกัน  กลัวเสียศักดิ์ศรีประเทศชาติไปโน่น
แต่ในที่สุด ศักดิ์ศรีก็ศักดิ์ศรีเถอะวะ  ท้องกิ่วแล้วจะมัวรักษาหน้ากันอยู่ทำไม
เราขอร้องให้ฟิตคาราลจ่ายเงินให้เราโดยตรง
แต่ฟิตคาราลปฏิเสธ..
อ้างความไม่สะดวกต่าง ๆ นานาของเขา
เราจึงต้องทนอยู่กับสุกอนต่อไป พร้อมกับความรู้สึกคับแค้นใจที่ไม่มีทางเลือก

สองผัวเมียฉลาดและเขี้ยวพอสมควร
ที่ว่าเขี้ยวก็คือต่อรองราคาเก่งมาก ชนิดที่คนไทยอาย
เป็นฝรั่งที่ซอกแซกรู้ไปหมดว่ามีอะไรขายที่ไหน  ทั้งที่เชียงใหม่และกรุงเทพฯ
เดินย่ำตรอกเล่าโจ๊ว และสำเพ็งมาจนปรุ
ขอนามบัตรร้านขายวัตถุดิบต่าง ๆ มาให้เราด้วย  รู้มากกว่าคนไทยเสียอีก
   
รู้จังหวะจะโคนที่จะสัมพันธ์กับเรา
มาหาเมื่อไรก็ปากหวาน  มีของติดไม้ติดมือมาฝาก  ชื่นชมสินค้าเราทุกครั้ง
แต่ไม่ยอมปรับราคาให้ง่าย ๆ
รายการไหนขอขึ้นราคาแกตัดออก  ยกเว้นตัวที่เป็นหลักจริง ๆ
ก็จะยอมแบบต่อรองกันอีกชั้น
เวลาจะปรึกษาหารือกันเอง ก็คุยภาษาฝรั่งเศส น็องแน็ง ๆ ไม่ให้เรารู้เรื่องด้วย

เราเล่นเอาล่อเอาเถิดกับสุกอน จนกระทั่งปลายปี 2547 
สุกอนก็เชิดเงินเราไปอย่างหน้าตาเฉย  ร่วมแสนบาท

หลังจากทั้งโทรศัพท์ไล่ล่า และเขียนจดหมายด่า-อย่างสุภาพ หลายครั้ง
สุกอนก็ยอมรับสาย และบอกเราเสียงอ่อย ๆ ว่า
"พี่ดีกับผมมาก  ไม่เคยด่าผมหยาบคายเหมือนบางคน  ผมไม่ลืมพี่หรอก
ถ้ามีผมจะให้  แต่ตอนนี้ผมไม่มีจริง ๆ"

เออใช่.. ฉันดีกับนายมาก  ด่าด็ด่าอย่างคลาสสิค  อ้างชาติบ้านเมืองมาตลอด
กลัวฝรั่งมันดูถูกว่าคนไทยขี้โกง  แล้วคนไทยก็โกงกันเองจริง ๆ ด้วย
เงินแสนสำหรับบางคนนั้นเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย
แต่ธุรกิจที่เล็กยิ่งกว่า เอสเอ็มอี อย่างเรานั้น เกือบทำให้กิจการล้มได้

นายโกงฉันทั้งที่นายเป็นคนในตระกูลใหญ่
พ่อนายก็เป็นเพื่อนกับพ่ออดีตนายกฯคนดัง
แม่นายก็คนดัง  เมียนายก็คนดัง  ดังกันทั้งตระกูล
แต่นายก็ยังให้เกียรติคนจน ๆ อย่างฉันด้วยการโกง
ฉันควรจะภูมิใจไหมล่ะนี่ ?

ในที่สุดฝรั่งก็ได้รู้เรื่องเสียที เมื่อเรายื่นไม้ตาย
บอกว่าเราไม่สามารถทำงานให้คุณได้อีกต่อไปแล้วนะ
นั่นแหละ ฟิตคาราลจึงยอมโอนเงินให้เราโดยตรงในการสั่งซื้อครั้งถัดไป
แถมยังบอกกับเราอีกว่า
"คนอื่นก็โดน"  หมายถึงผู้ผลิตรายอื่น ๆของเขา
นี่แสดงว่าจริง ๆ แล้ว ฝรั่งก็รู้มาตลอดว่าสุกอนเป็นคนอย่างไร..

ฝรั่งนะฝรั่ง
คงคิดว่าธุระไม่ใช่ และไม่มีหน้าที่ต้องมารับผิดชอบ
พวกแกคนชาติเดียวกัน  ไปฟัดกันเอาเองก็แล้วกัน

แต่คำสั่งซื้อถัดไปของฟิตคาราลก็กลับลดปริมาณลงเกือบครึ่ง
ทำให้เราซึ่งขาดทุนจากการโกงอยู่แล้ว และยังไม่มีลูกค้ารายอื่น
กลับยิ่งปริวิตกว่าจะไม่มีงานเข้ามาคุ้มกับค่าใช้จ่าย

ฝรั่งนะฝรั่ง 
แทนที่จะเห็นใจ  ไม่ต้องมาช่วยรับผิดชอบอะไรหรอก
แค่ช่วยสั่งของให้มากขึ้นหน่อย เพื่อช่วยชดเชยให้เราบ้าง
ให้เห็น "น้ำใจ" กันบ้างเวลาที่เราเดือดร้อน  ก็เปล่าเลย...

ครั้งหนึ่งฝรั่งยังเล่าให้เราฟังอีกว่า
สุกอนไปออกงานแฟร์ที่กรุงเทพฯแล้วถูกขโมยรถ
เป็นรถหรู ราคาแพงยี่ห้อยอดนิยมในขณะนั้น
(ดูฝรั่งคู่นี้จะมีข้อมูลเชิงลึกกว่าคนไทยอย่างเราเสียอีก)
ที่ฉันนึกขำก็คือ คาเมนพูดคำ ๆ หนึ่งออกมา เป็นการสรุปที่ชัดเจน ตรงเป้าที่สุดว่า
"กรรม !"
เป็นอีกครั้งที่ฉันอดนึกพิศวงฝรั่งคู่นี้ขึ้นมาไม่ได้

ฟิตคาราลตัดวงจรของเราออกจากสุกอนได้ประมาณ 2 ปีก็เกิดวิกฤติเศรษฐกิจอีกครั้ง
คราวนี้เป็นวิกฤติโลก  เรียกกันว่าวิกฤติแฮมเบอเกอร์
ที่มีต้นตอมาจากอเมริกา

ฟิตคาราลส่งข่าวมาบอกเราว่า
"เพื่อเป็นการ play safe  เราขอหยุดสั่งของด้วยประการทั้งปวง
ถ้าสถานการณ์ดีขึ้น  อาจสั่งได้ในเดือนกุมภา ปีหน้า (ขณะนั้นเป็นเดือนกันยา 51)
และเมื่อใกล้ถึงกุมภา  ฟิตคาราลก็ส่งข่าวมาอีกว่า
ทุกสิ่งยังคงอยู่ในความเงียบ  อาจจะสั่งได้ในเดือนเมษา

แต่ทุกสิ่งก็เงียบจริง ๆ  เพราะฟิตคาราลไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย

สถานการณ์ของธุรกิจ sme  ( suffer-mad-evil ) อย่างเรา
ก็อยู่กับความสับสนอลหม่าน คุกรุ่นมาโดยตลอด

กระทั่งปลายปี 2554 - หลังจากไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันมา 3-4 ปี
จู่ ๆ ฟิตคาราลก็ส่งอีเมลเข้ามาบอกว่า
อะไร ๆ เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วนะ  เราจะเริ่มสั่งของยูแล้ว
เรายังเน้นแนวธรรมชาติเหมือนเดิม  ยูช่วยปลูกดอกหญ้า ดอกไม้ไว้ให้เรามาก ๆ ด้วยนะ
เพราะสมุดดอกหญ้าของยูสวยมาก.. เราจะสั่งแน่นอน
ส่วนอัลบั้มแต่งงานเล่มใหญ่ ๆ ที่ยูไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร เราจะไม่สั่ง
เราจะสั่งแต่เล่มเล็ก ๆ ที่ยูทำได้ดี...
หวานมาเลยล่ะ..

สายไปเสียแล้ว...ฟิตคาราล
ไม่ว่าจะเล่มเล็กเล่มใหญ่
เพราะตอนนี้เราเดี้ยงเกินกว่าจะลุกขึ้นมาทำงานปริมาณมาก ๆ ให้คุณได้อีกต่อไป
เราไม่ใช่มนุษย์เหล็กที่สามารถยืนต้านพายุอยู่ได้ทุกฤดูมรสุม
เพื่อรอคอยการกลับมาของใครตามอำเภอใจ..


เราตอบคุณกลับไปว่า...ยินดีที่ได้ข่าวจากคุณอีก
แต่ขอโทษจริง ๆ ที่เรารับงานคุณไม่ได้อีกแล้ว
ตอนนี้คนงานเราเหลือน้อยมาก และเรามีงานเล็ก ๆ จากลูกค้าเล็ก ๆ ของเราเต็มมือแล้ว
เราไม่มีกำลังเหลือพอให้ยูอีก    ซอรี่จริง ๆ

เป็นอันจบตำนานลูกค้าชาวฝรั่งเศส
ที่คบหากันมายาวนานและเหน็ดเหนื่อย
และดูเหมือนไม่ได้อะไรมากไปกว่าการมีงานให้คนงานทำ
ไม่มีเงินเหลือพอแก่การใช้หนี้ธนาคาร  และยังคงเป็นหนี้อยู่ต่อไป

แต่ส่วนตัวลึก ๆ ก็มีความสะใจเล็ก ๆ ที่ได้เป็นฝ่ายปฏิเสธฝรั่งเศส  มหาอำนาจ
ที่ในประวัติศาสตร์เคยเข้ามากร่างยึดเมืองนั้นเมืองนี้ทั้งของเราและเพื่อนบ้าน
สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจไปทั้งภูมิภาค
และบางปัญหาก็ยังคงยืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้





วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

ลุงลาว






ลุงลาวเป็นฝรั่งเยอรมันวัยปลาย  ชื่อเสียงเรียงนามจริง ๆ ว่าอะไรอย่าไปอยากรู้แกเลย
เราเองบางครั้งยังนึกชื่อแกอยู่ตั้งนานกว่าจะนึกออก
จึงเรียกกันว่าลุงลาวนี่แหละ

ลุงลาวเล่าให้ฟัง - ด้วยภาษาไทยที่ชัดเจน  ว่าแกมาเที่ยวเอเซีย ไปมาทั่วแล้ว
กระทั่งวันหนึ่งได้ไปหลวงพระบาง ประเทศลาว
ก็เกิดความรักหลงในเสน่ห์ของเมืองหลวงพระบางอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
บอกกับตัวเองทันใดว่า ที่นี่แหละคือบ้านของฉัน

เมืองหลวงพระบางที่ใคร ๆ ต่างก็ร่ำลือในความสงบ สวยงาม บริสุทธิ์
ทำให้ลุงลาวตัดสินใจซื้อบ้าน ปักหลักทำมาหากินอยู่ที่นั่น จนถึงทุกวันนี้

นี่เองคือที่มาของชื่อ -ลุงลาว- ที่เราแอบตั้งให้

ลุงลาวพูดเก่ง คุยสนุก  อารมณ์ดี  ชอบเล่าเรื่องตลก
บางทีก็เสียดสีคนโน้นคนนี้ โดยเฉพาะนักการเมือง หรือคนใหญ่คนโตบางคน
จึงคุยกันถูกคอ ถูกอกถูกใจ

"ผมชอบงานของคุณมาก  งานคุณไม่เหมือนใคร  สวยมาก ๆ"  ลุงหยอดคำชม

"เราจะมาทำธุรกิจกัน  ผมจะสั่งของคุณไปขายที่โน่น
คุณรู้มั้ยคนลาวเรียกสมุดว่าอะไร"   เราสั่นหัว

"บึ้ม !"  แกทำเสียงคล้ายระเบิดลูกเล็ก ๆ
"อะไรนะ"
"บึ้ม !  ฮ่า  ฮ่า  ฮ่า...เรากำลังจะมาทำธุรกิจขายบึ้ม  ฮ่า  ฮ่า.."

ทุกคนหัวเราะ  ฮ่า  ฮ่า  ฮ่า  ขึ้นพร้อมกัน
เหมือนหัวเราะให้กับการเริ่มต้นธุรกิจที่มีเค้าว่าจะไปได้ดี

เราค้าขาย "บึ้ม" กับลุงลาวด้วยมูลค่าเล็ก ๆ น้อย ๆ
แบบซื้อมาขายไปไม่ทันถึงขวบปี
กำลังจะเริ่มค้าขายล็อตใหญ่กันแบบเป็นเรื่องเป็นราว ก็มีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นเสียก่อน

ผู้หญิงคนหนึ่งโทรศัพท์มาจากเชียงใหม่
ถามเราว่า  "ที่นั่นที่ไหน"
ซักไซ้กันจนรู้เรื่องว่า เธอเป็นเจ้าของเกสต์เฮาส์แห่งหนึ่ง
กำลังตามล่าลุงลาว ผู้ชักดาบค่าที่พักของเธอ
ทำทีว่าทิ้งของไว้จะกลับมาอีก  ที่ไหนได้เป็นผ้าขี้ริ้วที่ทิ้งไว้ตบตา

เธอบอกว่าเป็นเงินไม่เท่าไรหรอก แต่เสียความรู้สึก
และบังเอิญในรายการใช้โทรศัพท์-ที่ยังไม่ได้จ่าย- ของลุงลาว
ปรากฏหมายเลขของเราอยู่ด้วย  เธอจึงลองโทรมา "ตามกลิ่น"
และตามได้ถูกจังหวะเวลาพอดีเสียด้วย  เธอจึงแอบนัดหมายกับเราอย่างลับ ๆ

วันรุ่งขึ้น อันเป็นวันที่ลุงลาวนัดจะมาเจรจาธุรกิจกับเราที่บ้าน
ก็ปรากฏหญิงสาวร่างใหญ่ ขี่มอเตอร์ไซค์เอนทาโร อย่างเท่ห์ คันเบ้อเริ่มยังกับเป็นการข่มขวัญ  
มาดักพบก่อนเวลานัด

สองฝ่ายเจรจากันอย่างไรไม่ทราบ เพราะเราไม่อยากให้ลุงลาวเสียหน้า
จึงปล่อยให้คุยกันเองตามลำพัง
และเริ่มสังหรณ์ว่า  การค้าขายบึ้มระหว่างเราอาจจะมีปัญหา..

ขนาดค่าเช่าห้องคืนละไม่กี่ร้อย แกยังชักดาบหน้าตาเฉย
นี่ตกลงซื้อขายกันเบื้องต้นเป็นหลักหมื่น จะเสี่ยงได้หรือ

"ขอเงินมัดจำค่าสินค้า 40 เปอร์เซ็นต์"  เราบอก
"โอเค"  ลุงลาวตอบตกลงอย่างง่ายดาย
อาจเป็นเพราะเพิ่งถูกดิสเครดิตจากแม่สาวเอนทาโรมาหยก ๆ  จึงต้องขึงขังเข้าไว้
แกขอให้เราพาออกไปเบิกเงินที่ธนาคารก่อนกลับ

"เดือนหน้า ไอจะมารับของด้วยตัวเอง"  ลุงลาวยื่นเงินค่ามัดจำ 40 เปอร์เซ็นต์ให้

เรารีบเร่งทำงานจนเสร็จตามกำหนด..

ถึงวันนัด  ลุงลาวไม่ได้มาด้วยตัวเองเหมือนที่บอกไว้
แต่ส่งศิลปินหนุ่มชาวอังกฤษ  รูปร่างผอมหยองกรอด ชื่อ เดวิด
ซึ่งบอกว่าเป็นสต๊าฟ มาแทนตัว

"ไอจะมารับของทั้งหมด"   ศิลปินหนุ่มบอกความประสงค์
เรายกกล่องสินค้ามาวางเรียงรอไว้อยู่แล้ว
แต่เมื่อเราถามถึงเงินค่าของส่วนที่เหลือ  หนุ่มเดวิดตีหน้าซื่อ ปฏิเสธเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ
ยืนยันว่าได้รับคำสั่งให้มาเอาของอย่างเดียว  ไม่ได้รับคำสั่งให้มาจ่ายเงินด้วย
ทำเอาเราอึ้งไปชั่วขณะ  ก่อนจะตัดสินใจบอกไปว่า

"งั้นยูก็เอาของไปเท่ากับมูลค่าเงินมัดจำที่ยูจ่ายมาแล้วก็แล้วกัน
ของที่เหลือไอจะเก็บไว้ให้  และจะให้ไปก็ต่อเมื่อยูมาจ่ายเงินแล้ว"

เดวิด ฝรั่งกล้องแกล้ง ขนของไปเท่าจำนวนเงินมัดจำ 40 เปอร์เซ็นต์

คืนนั้น ลุงลาวโทรทางไกลมาจากหลวงพระบาง
หงุดหงิด อารมณ์เสีย  ตัดพ้อต่อว่า โวยวายว่าเราไม่ให้เกียรติ ไม่ไว้วางใจ
เราไม่ได้โต้แย้งอะไร  อยากจะคิดอย่างนั้นก็คงช่วยไม่ได้

ต้องขอบคุณพระเจ้า ที่ส่งหญิงเอนทาโรคนนั้นมาเป็นกระจกเงา
ส่องให้เราเห็นความจริงถึงบ้าน แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
มิฉะนั้นคนซื่อ ๆ เซ่อ ๆ อย่างเราก็คง "เสร็จ" ฝรั่งไปแล้ว

เราย้ำกับเขาเป็นคำสุดท้ายว่า  "เงินมา  ของไป"

แต่ลุงลาวก็ไม่ติดต่อมาอีกเลย...นานนับเดือน  หลายเดือน และคงตลอดไป
สินค้าที่เรารีบเร่งทำให้ เหลือบานเบอะอยู่ในสต๊อก คิดเป็นเงินหลายหมื่นบาท

"ฝรั่งวอก"  คนงานของเราคนหนึ่งสรุปได้ชัดเจนดีแท้ !






วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

ลุงเจี๊ยบ







เจฟ เป็นฝรั่งสัญชาติฮอลแลนด์วัย 50 กว่า
เขาตามปีเตอร์ เพื่อนร่วมชาติของเขา และเป็นลูกค้าคนสำคัญของเรามา
เรารู้จากปีเตอร์ในเบื้องแรกว่าเจฟเป็นศิลปิน

บุคลิกของเจฟนั้นจดจำง่าย
เขาเป็นคนร่าเริง  เป็นมิตร  หัวเราะเสียงดัง และอาภัพเส้นผม

ปีเตอร์อายุอ่อนกว่าเจฟหลายปี
หน้าตาหล่อเหลาระดับเดียวกับดาราฮอลลีวูด
เป็นเจ้าของธุรกิจขายอุปกรณ์สำหรับงานศิลปะทุกชนิด
ทั้งกระดาษ สี พู่กัน ฯลฯ

เขามีร้านในยุโรปหลายแห่ง
ชื่อร้านคือชื่อเต็มของเขา  ปีเตอร์ แวน กิงเกล
ปีเตอร์สั่งซื้อกระดาษของเราไปขายที่ร้านของเขา
เขาเป็นคนมีเพื่อนมาก
กลุ่มที่มาด้วยกัน นอกจากเจฟ
ยังมีเพื่อนชาวฮอลแลนด์ด้วยกันอีกสองสามคน
และหนุ่มไทยปักษ์ใต้ที่เป็นเพื่อนสนิทของปีเตอร์

ฝรั่งกลุ่มนี้ท่องเที่ยวกันไปทั่วโลก
ใช้ชีวิตอิสระ  เป็นคนมีความรู้
เจฟจบปริญญาโท เคยเป็นอาจารย์สอนศิลปะ เป็นผู้กำกับภาพยนตร์
เคยใช้ชีวิตแบบคนร่ำรวย  แต่ในที่สุดก็เบื่อ
จึงตระเวนไปเที่ยวที่โน่นที่นี่กับกลุ่มเพื่อน

เขาเคยมาเมืองไทยหลายครั้ง
บางครั้งมาเช่าบ้านอยู่กันนานนับเดือนที่กรุงเทพฯ
ซึ่งคงจะประหยัดกว่าอยู่โรงแรม
จึงพอรู้ภาษาไทยบ้าง - นิหน่อย
เขาคงจะชอบคนไทย ชอบเมืองไทยพอสมควร
จึงมาหลายครั้ง เกือบจะทุกปี

ไป ๆ มา ๆ เจฟก็สนิทกับเรามากกว่าปีเตอร์เสียอีก
เขาเคยมาอยู่ทำงานที่บ้านเราหลายครั้ง บางครั้งนานนับสิบวัน
เจฟสนุกกับการเล่นกับกระดาษ
งานศิลปะกระดาษของเจฟสะท้อนตัวตนของเขาที่เป็นคนรักสนุก มีอารมณ์ขัน

เขาจะขลุกอยู่ที่โรงทำกระดาษทั้งวัน
ใช้จินตนาการสร้างสรรค์ความแปลกใหม่ลงบนเยื่อกระดาษ
หยิบสิ่งของรอบตัวที่คนอื่นโยนทิ้ง หรือมองข้าม
มาใช้ผสมผสานเป็นงานศิลปะได้อย่างน่าทึ่ง

"ฝรั่งติงต๊อง"  เจฟพูดถึงตัวเองเต็มปากเต็มคำ
"ไออยู่ที่ไหน มักจะถูกคนไทยเรียกว่าฝรั่งติงต๊อง"
"ยูรู้ความหมายของมันไหม" เราถาม
"รู้ซี่"
"โกรธมั้ย ?"
"ไม่หรอก เพราะไอก็ติงต๊องจริง ๆ นั่นแหละ  ฮ่า ฮ่า ฮ่า.."

วันหนึ่ง ฝรั่งติงต๊องคนนี้หิ้วถังพลาสติกสีดำ เดินท่อม ๆ หายเข้าไปในป่ารก
เพื่อหาวัตถุดิบแปลก ๆ มาทำกระดาษเล่น  หมาข้างบ้านเห่ากันเกรียว
พักใหญ่ เจฟก็หิ้วถังดำเดินออกมาจากกอหญ้ารก
ไม่มีใครรู้ว่าเขาเข้าไปเอาอะไร  คนงานหัวเราะกันคิกคัก

กระดาษแผ่นนี้เมื่อแห้งแล้วก็ดูสวยดี
เป็นกระดาษโทนสีน้ำตาลเหมือนสีกาแฟ  มีเศษผงประปราย คล้ายขี้เลื่อย
เป็นกระดาษแผ่นเดียวในโลก  เพราะทำจากขี้  - ขี้วัว - bullshit paper

คนงานเล่าว่าตอนที่เจฟเทขี้วัวจากถังลงในตะแกรงกระดาษ
แมงกุดจี่ในขี้วัวพากันวิ่งพล่านอย่างตื่นตระหนก
ในขณะที่เจฟส่งเสียงเฮฮา สนุกสนาน กระโดดโลดเต้นสะใจอยู่คนเดียว
มีเสียงคิกคักจากคนงานเป็นลูกคู่อยู่รอบ ๆ

"ผลมันจะเป็นยังไงก็ช่าง  สิ่งสำคัญคือเราสนุกตอนที่ทำ"

นี่ดูจะเป็นปรัชญาอันคมคาย จากคนที่บอกว่าตัวเองติงต๊อง

ระหว่างทำงาน เขาร่าเริงอารมณ์ดี  ผิวปาก ร้องเพลง
พูดจาเย้าแหย่คนงานอย่างสนุกสนาน คนงานพลอยมีความสุขไปด้วย

นอกเหนือเวลางานเจฟชอบไปนวด
เขาติดใจและชื่นชอบการนวดแผนไทยมาก
เขาชอบออกไปเดินเที่ยวเล่นในตลาด ดูบ้านดูเมือง
จนแม่ค้าหลายคนจำหน้าได้  คนไทยมักเอื้อเอ็นดูฝรั่ง

"คนไทยสนใจฝรั่ง"  ฉันนึกถึงคำพูดของคุณอเลค  สามีของพี่นิด พี่สาวที่น่ารักคนหนึ่ง
คุณอเลคเป็นคนอังกฤษ อยู่เมืองไทยมานานหลายสิบปี
รู้ภาษาไทยพอสื่อสารได้ แต่ไม่เก่ง
สาเหตุที่ไม่เก่งก็เพราะพี่นิดเก่งภาษาอังกฤษ
คุณอเลคเลยไม่ค่อยมีโอกาสได้ฝึกฝนภาษาไทยเหมือนฝรั่งคนอื่น ๆ ที่มีเมียเป็นคนไทย

"วันหนึ่งผมขึ้นรถเมล์  เชื่อมั้ยคน(ไทย)หันมามองผมทั้งคัน
ผมนั่ง ๆ ไปสักพัก ก็มีฝรั่งอีกคนหนึ่งขึ้นมา คนทั้งรถก็หันไปมองหมอนั่นอีก
ทำเอาหมอยืนจ๋อง ตัวลีบ แทบจะมุดลงไปใต้เบาะ
พอชักจะชิน หมอนั่นก็ค่อย ๆ กวาดสายตามองสำรวจคนในรถ
ปรากฏว่าทุกคนยังคงมองหมออยู่ - รวมทั้งผมด้วย  ฮ่า ฮ่า ฮ่า..."

ทุกคนที่ฟังต่างหัวเราะไปกับคุณอเลค
ที่เล่าด้วยความภูมิใจว่าตัวเองได้กลายเป็นคนไทยไปเรียบร้อยแล้ว  ฮ่า ฮ่า ฮ่า

กลับมาที่เรื่องของเจฟ
ความที่เขาเป็นคนมือไม้อ่อน ไหว้ดะ
หลายครั้งที่เจฟได้ของกินกลับมาโดยไม่ได้ซื้อ ส่วนใหญ่จะเป็นผลไม้

บางครั้งเขาซื้อของแปลก ๆ (สำหรับเขา) ติดไม้ติดมือมาด้วย
อาทิเขียดตัวเล็ก ๆ ย่างจนแห้ง เสียบไม้เป็นแผง
อาหารพิเศษของคนเมืองเหนือ
เอามาทอดกรอบกินกับน้ำพริกตาแดง หรือจิ้มน้ำปลากิน อร่อยมาก
เจฟซื้อมาเป็นมัด  ไม่ได้เอามากิน แต่เอามาใส่ในงานกระดาษของเขา
ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่บรรลุเป้าหมาย เพราะมีตัวอะไรไม่รู้มาแอบกินเขียดย่าง
ในแผ่นกระดาษของเขาจนหมด ในระหว่างที่รอกระดาษแห้ง

เมื่อใกล้จะกลับ เจฟทำกระดาษให้เราแผ่นหนึ่งเป็นที่ระลึก
เขาใส่ก้อนหินขนาดเท่าลูกมะนาวเข้าไปในเยื่อด้วย
มีรอย stamp (เขาแอบเอากระดาษออกไปขอให้บุรุษไปรษณีย์ประทับตราให้)
พร้อมกับเขียนด้วยลายมือสไตล์ศิลปิน ด้วยดินสอ ความว่า
"Great time when I spend with your family"

เจฟเป็นขวัญใจคนงาน  คนงานของเราทั้งหมดเป็นคนเมือง ที่มักขี้อาย ไม่ค่อยกล้าพูด
บางคนในชีวิตนี้ไม่สามารถขยับลิ้น ขยับปากพูดภาษาสำเนียงอื่น
นอกเหนือจากคำเมืองของตัวเองได้เลย
ชื่อของเจฟจึงมีปัญหามากสำหรับบางคน

วันหนึ่งฉันจึงได้ยินคนงานคนหนึ่งเรียกเจฟว่า ลุงเจี๊ยบ
ศิลปินร่างใหญ่อารมณ์ดีของเรา กลายร่างเป็นตุ๊กตาตัวเล็กน่ารักจากชื่อใหม่
จากนั้นมาเขาก็กลายเป็นลุงเจี๊ยบของทุกคน
ลุงเจี๊ยบดูจะมีความสุขมากขึ้นที่ได้รับการยอมรับ

ใกล้วันกลับ เขาอยากแสดงความขอบคุณเรา
ด้วยการโชว์ฝีมือทำแกงเขียวหวานเลี้ยงพวกเราทั้งหมด

"ไอเคยทำกินบ่อย ๆ ที่ฮอลแลนด์ อร่อยมาก"
เขาแสดงความชื่นชมอาหารไทยชนิดนี้

เจฟไปจ่ายตลาดแต่เช้าคนเดียว ไม่ยอมให้ใครไปช่วย
หอบข้าวของพะรุงพะรังลงจากรถ
แกงเขียวหวานไก่หม้อเบ้อเริ่ม จากกะทิกล่องใหญ่หลายกล่อง
กินกับข้าวสวยและขนมจีน  เอร็ดอร่อย หมดหม้อไม่มีเหลือ
เป็นความภูมิใจของคนทำ และเป็นความทรงจำอันงดงามระหว่างมิตรภาพ

ใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง
ปีเตอร์ เจ้าของธุรกิจใหญ่ เพื่อนสนิทของเจฟตาย ราวเดือนพฤศจิกายน 2002
ด้วยอายุเพียง 48 ปี หลังจากที่เรารู้จักและค้าขายด้วยกันมากว่า 10 ปี

ธุรกิจหยุดชะงักแทบจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะปีเตอร์เป็นลูกค้ารายใหญ่
ในนาทีนั้น เจฟซึ่งเป็นศิลปิน ไม่ใช่พ่อค้า ไม่มีความชำนาญในเส้นทางค้าขาย
ใช้ชีวิตสนุกสนานแบบศิลปินมาโดยตลอด
กลับแอ่นอกเข้ามารับหน้าที่ค้าขายกับเราแทนปีเตอร์
เพียงเพราะอยากช่วยเพื่อน

เขาตระเวนไปตามร้านค้าหรือศิลปินที่คาดว่าจะเป็นลูกค้าเราได้
ทั้งในฮอลแลนด์  สเปน  อิตาลี เพื่อหางานมาป้อนให้เราอย่างมานะพยายาม
ซึ่งก็ได้ผลบ้างไม่มากนัก
แต่สิ่งที่ได้มากกว่าคือความเป็น "เพื่อน"
ที่มีความหมายและหาซื้อไม่ได้




วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

สาวน้อย







ปีนั้น..
อากาศปลายเดือนกันยายนแปรปรวน
เพราะเป็นช่วงปลายฝน ต้นหนาว ฟ้ามักร้องคำรามทั้งที่ไม่มีฝนตก
หรือหากตกก็ตกแบบเกรี้ยวกราด กรรโชก
เป็นเพราะมีประจุไฟฟ้าอยู่ในชั้นบรรยากาศ
ฤดูหนาวกำลังจะมา....

ต้นปีบออกดอก..
ผลิบาน หวานหอมให้เชยชม
บางที กว่าจะรู้ว่าปีบผลิบานก็ต่อเมื่อเห็นดอกร่วงพรู
ขาวโพลนอยู่รอบโคนต้น จนต้องแหงนหน้าขึ้นมองหา
เพราะต้นสูงนัก

เดิมทีเราปลูกปีบแค่สองต้น
แต่พอมันโต รากหรือไหลก็จะแผ่ขยายออกไปกว้างไกล
ก่อเกิดปีบต้นเล็กต้นน้อยตามมานับไม่ถ้วน
จนบางทีต้องฟันทิ้ง เพราะมากมายเกินพอดี

บางต้นขึ้นเบียดไม้ต้นอื่น
เผลอหน่อยเดียวก็พากันโตพรวด ๆ ยึดครองพื้นที่
กดข่มเจ้าของเดิมจนฝ่อไปเลยก็มี

วันหนึ่ง พ่อบ้านเปรยขึ้นมาว่าอยากเลี้ยงเป็ด
เขาติดต่อซื้อเป็ดจากญาติห่าง ๆ คนหนึ่งไว้แล้ว

ถัดมาอีก 5-6 วัน ก็มีคนเอาเป็ด 6 ตัวมาให้ถึงบ้าน
เป็นเป็ดเทศพันธุ์ผสม
มีคนบอกว่าพันธุ์นี้แหละเอาไปทำเป็ดพะโล้อร่อยนัก

พ่อบ้านไม่ได้คิดจะเลี้ยงเป็ดทำเป็ดพะโล้
เขาหวังเพียงว่าพวกเป็ดจะช่วยกำจัดหอยทาก
ที่เกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา
กับทั้งจะช่วยดูแลสอดส่อง ป้องกันบรรดางูทั้งหลายให้เราด้วย
บ้านเราเป็นป่ารกเรื้อ งูจึงชุกชุม

เป็ดเทศทั้ง 6 ตัวของเรา ไปไหนก็ไปด้วยกัน
เดินเรียงแถวตามก้นกันอย่างเป็นระเบียบ
ท่วงท่าอุ้ยอ้ายส่ายสะโพกดูน่ารัก

เจ้าตัวที่เป็นจ่าฝูง ขนขาวดำ ตัวอ้วนใหญ่กว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด

อีกตัว ถ้าเทียบกับคน หล่อนคงเป็นหญิงสาว งามเด่นสะดุดตาที่สุดในฝูง
เราเรียกเธอว่า "สาวน้อย"

สาวน้อยคงจะอายุน้อยกว่าตัวอื่น
ในขณะที่ตัวอื่น ๆ ดูกรำโลก แก่พรรษากว่ามากนัก

สาวน้อยมีขนขาวสะอาด ตัดกับขนเขียวเข้มจนขึ้นดำ
หรือว่าดำจนขึ้นเขียวก็ไม่รู้
ในขณะที่ปีกขนของตัวอื่นดูสกปรก มอมแมม

สาวน้อยจึงมีสง่าราศีประจำกายโดดเด่นกว่าพรรคพวกอย่างน่าแปลกใจ

ความเด่นอีกประการของสาวน้อยก็คือ
เธอยังไม่ทันถูกตัดปีกเหมือนรุ่นพี่ทั้ง 5 ตัว
จะเป็นเพราะเจ้าของเดิมลืมหรืออย่างไรก็ไม่รู้

คนเลี้ยงตัดหรือขลิบปลายปีกคงเพื่อป้องกันมันบินหนี

สาวน้อยไม่ได้ถูกขลิบปีกเหมือนตัวอื่น
เธอจึงสามารถบินไปโน่นมานี่ ในระดับสูงจากพื้นสัก 2-3 เมตร
และไปได้ไกลเป็นระยะทางราว 10 เมตร ในแต่ละเที่ยวบิน
ให้บรรดาเป็ดอาวุโสในกลุ่ม ได้อิจฉาตาร้อนกันอยู่ทุกวัน

เธอบินขึ้นไปเกาะขอบอ่างบัวหลวงใบใหญ่
ที่เป็นอ่างมังกร สูงราว 60 เซนติเมตร
แล้วก็ลงดำผลุดดำว่ายอยู่ในอ่างบัว
ไม่สนใจหรอกว่าในอ่างนั้นจะมีต้นอะไรอยู่
จนกระทั่งบรรดาบัวของเราวอดวายหมดทุกอ่าง

จะว่าไปเป็ดฝูงนี้ก็ไม่ได้สร้างความยุ่งยากอะไรให้เรานัก
ข้าวก็ไม่เปลือง  ดูท่ามันจะเพลิดเพลินกับการหาหอย หาแมลงกินมากกว่า

แต่ปัญหาอยู่ตรงที่มันชอบอยู่ใกล้คน

ตั้งแต่เริ่มเลี้ยง  พวกมันจะมาขี้กองไว้รอบบ้าน
แทนที่จะขี้ตามดินตามหญ้า
กลับมาขี้กองไว้หน้าประตู ทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน
กลิ่นอันไม่พึงปรารถนาจึุงอบอวลอยู่รอบบ้าน
ตามล้างตามเช็ดกันไม่หวัดไม่ไหว





เมื่อก่อนบ้า่นเราชั้นล่างยังไม่ได้ติดมุ้งลวด
เพราะเสียดายลม ต้องการให้ลมโกรกอย่างเต็มที่
แต่ตอนหลังสู้ยุงไม่ไหว จึงต้องติดมุ้งลวด ยอมเสียลมไปเกินครึ่ง

เที่ยงวันนั้น พวกเราชุมนุมกันอยู่ในครัวหลังบ้าน
สักพักก็ได้ยินเสียงกุกกัก ๆ ดังมาจากหน้าบ้าน  ฉันจึงลุกไปดู

แล้วก็ได้เห็นเป็ดทั้ง 6 ตัว
เข้ามานั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ในห้องรับแขก

นั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยกันจริง ๆ  เรียงแถวหน้ากระดาน
นิ่งเฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน  แม้เราจะเดินมายืนมองอยู่ตรงหน้า
พวกเธอก็มองหน้าเราเฉย
ไม่ยอมลุกหนี

ในที่สุดฉันต้องยอมเสียมารยาท เป็นฝ่ายไล่แขก
"ชิ้ว ๆ... มากไปแล้วนะพวกเธอ"

เท่านั้นแหละ พวกเธอพากันลุกขึ้น
พร้อมใจกันส่งเสียง  "ก้าบ ๆ ๆ"  ดังลั่น แบบตื่นตกใจขึ้นมาทันใดเหมือนคนบ้าจี้
แล้วพากันวิ่งหนีอลหม่าน

ถ้าวิ่งหนีเฉย ๆ จะไม่ว่ากันเลย..
แต่นี่พากันขี้แตก  แพรด ๆ ๆ   ฝากไว้ที่พื้นห้องรับแขกตัวละกองสองกอง
โอย..จะเป็นลม

พ่อบ้านเห็นท่าไม่ได้การ
ด้วยมองเห็นปัญหาตามมาอีกหลายอย่าง
ทั้งกลัวยายลื่นล้มจากการล้างขี้เป็ดครั้งแล้วครั้งเล่า วัีนละหลายรอบ

เขาตัดสินใจเผด็จศึกอย่างรวดเร็ว
โดยยกเป็ดทั้งหมดให้คนงานไปอีกนั่นแหละ
ไม่ได้ขายเขยอะไรเลย

คนงานเข้ามาจับเป็ดตอนหัวค่ำ โพล้เพล้อีกเช่นเคย
พวกมันคงรู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัย
มันพากันวิ่งหนีสุดชีวิต  ดูน่าเวทนาจริง ๆ

เย็นนั้นพวกเขาต้องมาจับมันถึงสองรอบ จึงได้ไปจนครบ

ก่อนนอนคืนนั้นยายสวดมนตร์แผ่เมตตาให้พวกเป็ดไปหลายรอบ

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
ฉันตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงตื่นตกใจของยายที่หลังบ้าน

ยายเล่าว่าเมื่อยายเปิดหน้าต่างห้องครัวออกไป
ก็ต้องตกตะลึงเมื่อมองเห็น  สาวน้อย
เป็ดตัวที่ฉลาดที่สุดของเรา ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ตรงลานซีเมนต์หลังบ้าน...

เธอยืนอยู่ตัวเดียว..

ยายบอกว่าใจยายอ่อนยวบ

เราพากันแปลกใจว่าสาวน้อยกลับมาบ้านได้อย่างไร
ระยะทางจากบ้านคนงานที่มาจับพวกมันเมื่อคืนนี้
แม้จะห่างจากบ้านเราไม่มากนัก  แต่ก็ไม่ใกล้
และหนทางก็ยังคดเคี้ยวเลี้ยวลด
ต้องผ่านป่าหญ้าและลำคลอง  ขนาดคนเดินก็ยังหอบแฮ่ก

เธอจะต้องเป็นเป็ดที่ฉลาดเฉลียวอย่างยิ่ง
และเธอคิดยังไง จึงดั้นด้นกลับมา
เธอกลับมาในลักษณะการหนีภัย  หนีร้อนมาพึงเย็น
กลับมาบ้าน..

ยิ่งคิด ใจฉันก็ยิ่งอ่อนยวบไปตามยาย

แต่พ่อบ้านใจแข็ง..ใจแข็งอยู่คนเดียว
เขายืนยันความตั้งใจเดิม ที่ไม่มีใครกล้าทัดทาน
สาวน้อยจึงถูกจับไปอีกรอบ

ที่นี่ไม่เย็นพอแล้วหรือ ...
ก้อนแข็ง ๆจุกอยู่ตรงยอดอก
.......

บางที..เขาอาจจะเป็นฝ่ายถูก
เราสิผิด..ที่ใจอ่อนจนเกินไป..









วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

กระต่ายชมจันทร์ - วันเดือนดับ





บ้านเราเคยเลี้ยงกระต่ายฝูงใหญ่
กระต่ายคู่แรกของบ้านไร่ ได้มาจากป้าลดา คนคุ้นเคย
ซึ่งอยากเลี้ยง ลองซื้อมาเลี้ยง แล้วเลี้ยงไม่ไหว
ตอนที่ป้าลดาเอามาให้นั้น กระต่ายคู่นี้อยู่ในกรงเล็ก ๆ ที่เป็นกรงนก

ครั้งแรก เราให้มันอยู่ในคอกไม้ ที่เดิมเคยเป็นคอกเลี้ยงหมา 
ซึ่งกว้างใหญ่กว่ากรงเดิมของมันมาก

หลังจากนั้นไม่นาน กระต่ายพ่อแม่สีเทาและสีขาวคู่นั้นก็แพร่ลูกแพร่หลาน
เร็วพอ ๆ กับไก่แจ้เลยทีเดียว

กระต่ายเป็นสัตว์น่ารัก  ตาสีแดงใส
พ่อบ้านสอนวิธีจับกระต่ายให้เด็กสองคน 
โดยให้รวบหูสองข้างแล้วยกขึ้น

เราช่วยกันสร้างกระท่อมน้อยให้พวกมันอยู่
หลังจากสมาชิกเริ่มขยายวง จนเต็มคอกแคบ ๆ หลังเดิม

กระท่อมกระต่ายสร้างด้วยไม้ไผ่สานขัดแตะ
กว้างยาวราว 3 X 3 เมตร  คนก็ยังอยู่ได้สบาย ๆ
กระท่อมน้อยมุงหลังคาด้วยหญ้าคาเพียงครึ่งเดียว
ส่วนที่ไม่ได้มุง เอาไว้ให้กระต่ายชมจันทร์

วันไหนพระจันทร์เต็มดวง
เจ้ากระต่ายจะยืนสองขา ชะเง้อดูพระจันทร์กันจริง ๆ จัง ๆ

ไม่เฉพาะแต่กระต่ายหรอก
เราเองก็ชอบมองพระจันทร์ โดยเฉพาะพระจันทร์วันเพ็ญ
ที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกอย่างประหลาด
จิตใจเราจะสงบเย็น รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข

พระจันทร์จึงเป็นสัญญลักษณ์ของความนุ่มนวล อ่อนโยนและเป็นมิตร
เป็นดาวเคราะห์ที่ทรงอิทธิพล ที่ทางโหราศาสตร์เองก็ถือว่าสำคัญอย่างที่สุด

แรกเริ่มเดิมที เราตั้งใจจะเลี้ยงกระต่ายแบบปล่อย
เพราะหญ้าบ้านเรารกมาก  โดยเฉพาะในฤดูฝน
เราคาดหวังให้กระต่ายมาช่วยกำจัดความรกให้ แต่เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้
เพราะมักมีหมานิรนามหลายตัว เร่ร่อนผลัดเปลี่ยนกันมุดรั้วเข้าออกบ้านเราเป็นว่าเล่น
ถ้าพวกมันได้ลองกินเนื้อกระต่ายกันสักครั้ง ก็จะต้องติดใจเป็นแน่
เราจึงต้องระงับโครงการในฝันนี้ลง
หันมาสร้างกระท่อมให้พวกมันอยู่ในที่สุด

อาหารของกระต่ายก็คือหญ้าเขียว ๆ
ที่บ้านเรามีอย่างอุดมสมบูรณ์

การเลี้ยงกระต่ายมีข้อดีอยู่อย่าง
คือความเงียบ
กระต่ายไม่เอะอะโวยวาย เซ็งแซ่ เหมือนพวกไก่ หรือพวกเป็ด
ไม่เห่าหอน กัดกันเหมือนพวกหมา
อยู่กันเงียบ ๆ  งุงิ ๆ แบบกระต่าย

แต่ความเงียบนี้เอง
บางครั้งกลับนำความหายนะมาให้อย่างใหญ่หลวง..

วันนั้นเป็นวันอาทิตย์  อากาศร้อนอบอ้าวเหลือเกิน
น่าจะเป็นเดือนมีนาคม เพราะต้่นไผ่เพิ่งผลิใบอ่อนเล็ก ๆ
หลังจากทิ้งใบมาตลอดฤดูหนาว

พ่อบ้านมองดูต้นไผ่ที่กำลังแตกใบอ่อนแล้วก็บ่นงึมงำ
ด้วยความเป็นห่วง เพราะความร้อนแล้ง

กระทั่งถึงตอนบ่าย  อากาศร้อนอบอ้าวกดดันเราอยู่รอบตัว
บรรยากาศเหมือนกำลังจะมีพายุลูกใหญ่

ปกติพ่อบ้านจะเปิดน้ำรดต้นไผ่ให้เป็นแบบน้ำหยด
หรือไม่ก็เปิดก๊อกเบา ๆ ให้น้ำค่อย ๆ ไหลทีละน้อย
วันนั้นเขาเปิดน้ำตั้งแต่ตอนสาย ตอนที่บ่นงึมงำเป็นห่วงต้นไผ่
เป็นเวลาเนิ่นนาน...หลายชั่วโมง

กว่าจะนึกขึ้นได้ น้ำจากสายยางที่จ่อไว้ในกอไผ่ ก็เจิ่งนองไปทั่วสวน
และเริ่มไหลลงไปที่กระท่อมของกระต่าย

ลำพังน้ำนองที่พื้นคงไม่กระไรนัก
แต่ช่วงนั้นพวกเราไม่มีใครรู้เลยสักคน
ว่าแม่กระต่ายได้ขุดดินเป็นโพรงลึกลงไป
เพื่อจะซ่อนลูกน้อยของเธอไว้ในโพรงนั้น

เมื่อไปพบก็สายเสียแล้ว...
พ่อบ้านเอามือล้วงเข้าไปในโพรงที่ลึกเกือบฟุต
ลูกกระต่ายเพิ่งเกิดใหม่ ตัวน้อยนิด 9 ตัว จมน้ำ้ตาย ไม่มีรอดเลย


วันรุ่งขึ้น เรายกกระต่ายทั้งคอก ร่วม 40 ตัว ให้เพื่อนบ้านไปทั้งหมด
เราเลิกเลี้ยงกระต่ายตั้งแต่วันนั้น
และไม่เคยคิดจะเลี้ยงอีกเลย..

ไม่มีใครพูดอะไร ปล่อยให้ความเงียบเป็นผู้ครอบครอง
ทุกคนในบ้านคงรู้สึกเหมือนกัน
ว่าความเศร้าได้แผ่ขยาย ครอบคลุมโลกเราไว้จนมิด