วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

คนสาละวีก




ไม่มีใครไม่รู้จัก "แก้วโมโห"
ชื่อของหล่อนไปไกลเกินรัศมีหมู่บ้านหนองป่าครั่งนี่เสียอีก

เหตุที่แก้วโมโหมีคนรู้จักกว้างขวาง
ก็เพราะความเป็นคน "สาละวีก" ของหล่อนนั่นเอง

"รงค์ วงษ์สวรรค์" เคยให้นิยามคำว่า "สาละวีก"
ผ่านปากของน้อยแก้วใน "ขุนนางป่า" ไว้ว่า
"บ้า ๆ บอ ๆ  ไม่ครบสลึง ไม่ครบบาท"

แก้วโมโหก็เป็นคนอย่างนั้นแหละ

เมื่อหลายเดือนก่อน แก้วโมโหไปนอนเปลือยกายอยู่ใต้ต้นฉำฉา ริมทางหลวง
เดือดร้อนถึง "ตาเป็งผีกุ๋ม" ผัวของหล่อน
ที่ต้องมาลากมาดึง จับใส่เสื้อผ้าเป็นพัลวัน

แก้วโมโหมีผัวมาแล้วหลายคน ลูกก็คงจะหลายคน
ต่างกระจัดพลัดพรายกันไปคนละทิศละทาง
ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เพราะหล่อนมาจากหมู่บ้านอื่น

ส่วนตาเป็งผีกุ๋มก็เคยมีเมียมีลูกมาแล้วเหมือนกัน
เรื่องอย่างนี้ไม่มีใครถือ ยิ่งเป็นคนสาละวีกทั้งคู่

เรือนรักของทั้งสองเป็นกระท่อมมุงหลังคาสัปรังเค
ปลูกอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน

ที่ตรงนั้นเป็นที่สาธารณะ หลวงเป็นเจ้าของ เพราะติดกับลำเหมืองชลประทาน
อาศัยว่าเป็นบ้านนอกคอกนา  ห่างไกลจากในเมือง
พวกเขาจึงยังคงอาศัยอยู่ได้
กระท่อมน้อยมีไม้รวกเป็นรั้ว  หลังบ้านปลูกกล้วยอ้อย ตะไคร้อีก 1 กอ

ตาเป็ง  ที่จริงชื่อเป็งเฉย ๆ แต่เพราะคุ้มดีคุ้มร้าย เลยได้ชื่อต่อท้าย
ผีกุ๋ม ก็บอกอยู่แล้วว่าผีคุมหรือผีสิง

ตาเป็งมีอาชีพเป็นสัปเหร่อ  พอมีเงินมาให้เมียกินเหล้าไปวัน ๆ
ว่างเว้นจากการเป็นสัปเหร่อก็รับจ้างทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ
งานที่หาคนรับจ้างทำยาก อาทิ ขึ้นไปเก็บซากหนู หรือซากตุ๊กแกตายเน่าบนฝ้าเพดานบ้าน
งานขุดลอกท่อน้ำทิ้ง  หรืองานตักส้วม

ส่วนแก้วโมโห ชื่อก็บอกสรรพคุณของหล่อนอยู่ในตัว
ชาวบ้านมักมีสมญานามให้กัน
เป็นความคิดรวบยอดอันน่าทึ่งเกี่ยวกับคน ๆ นั้น

เมื่อเป็นสาวแก้วโมโหคงเป็นคนงามและช่างแต่งตัว
ทุกวันนี้ก็ยังเห็นเค้าความงามหลงเหลืออยู่  แม้อายุจะขึ้นเลข 5 มาหลายปีแล้ว

บางวันหล่อนแต้มสีปากแดงแช้ด  ใส่ต่างหูตุ้งติ้ง
ซิ่นดอกเสื้อดวงสีสด  ผมสั้นดัดเข้ารูปทันสมัย

แต่บางวันหล่อนก็ใส่ยกทรงสีขาวมอซอตัวเดียว (ยังนุ่งซิ่นอยู่)
เดินแอ่นหน้าแอ่นหลังอยู่กลางถนนตั้งแต่เช้าตรู่

ยังดีว่าหล่อนเป็นคนผอม นมต้มไม่ค่อยมี
จึงไม่ยั่วยุอารมณ์คนดูเท่าไร

หล่อนเป็นคนโมโหร้าย โดยเฉพาะกับตาเป็ง
ถ้าวันไหนหล่อนคิดว่าตาเป็งมุบมิบเงินไว้ ไม่ให้หล่อนเอาไปซื้อเหล้า
หล่อนจะอาละวาดบ้านแตก   และตาเป็งเป็นฝ่ายแพ้เสมอ

ตาเป็งเป็นคนตัวเล็ก ผอมบางยิ่งกว่าเมีย แต่ก็แกร่ง แข็งแรง
ขุดดินฟันหญ้า  ทำงานหนักได้สารพัด
แกตัดผมเกรียนเลยมองเห็นหูกาง
ตาโตดูตื่น ๆ ตลอดเวลา  กระนั้นก็มีแววซื่อ  บางคนว่าทึ่ม ไม่ทันคน

ตาเป็งสวมรองเท้าบู๊ทประจำกาย  แบกจอบพาดบ่า พร้อมลุยทุกที่
เดินอยู่ริมถนน   เดินลัดทุ่ง   เข้าไปถามหางานทำตามที่ต่าง ๆ
บางวันก็เคียงคู่ไปกับศรีภริยาแก้วโมโห
หยอกเอินกันไปเหมือนผัวหนุ่มเมียสาวยังไงยังงั้น

บ้านหนองป่าครั่ง เมื่อก่อนคงจะเลี้ยงครั่งกันมาก
เดี๋ยวนี้ยังพอมีร่องรอยเหลือนิดหน่อยจากต้นฉำฉาริมถนนไม่กี่ต้น

เดี๋ยวนี้คนทำนาน้อยลง เพราะไม่มีที่ดินเหลือ
พวกเขากลายเป็นแรงงานรับจ้าง
มีโรงงานทำเครื่องปั้นดินเผาอยู่รอบ ๆ หมู่บ้าน 2-3 โรง
สาวน้อยสาวใหญ่ ไปเป็นคนงานโรงถ้วยกันเกือบทั้งนั้น

ส่วนพวกผู้ชาย ถ้าไม่ทำงานโรงถ้วยก็ยังมีงานก่อสร้าง
เพราะพ่อกำนันเป็นผู้รับเหมาเสียเอง เรียกหาแรงงานจากลูกบ้านของตัวเองได้โดยง่าย

ระยะหลังๆ เริ่มมีคนภายนอกหมู่บ้าน เข้ามาถามหาซื้อที่ดิน
เมืองขยายออกมารอบนอกมากขึ้น
บางทีก็เป็นคนกรุงเทพฯ ที่หนีน้ำท่วมมาหาที่ดินสำรองไว้
หลายหมู่บ้านมีคนมากว้านซื้อเพื่อทำสวนยางพารา

บางคนตั้งใจมาอยู่จริงๆ
แต่บางคนที่มีเงินเย็นเหลือก็กะซื้อไว้เก็งกำไร

ล่าสุดมีชายสูงวัยจากที่อื่น  มาติดพันหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง
ไปๆมาๆหลายรอบ  กระทั่งวันหนึ่งก็มาสร้างบ้านหลังใหญ่อยู่ติดถนน

ชื่อจริงชื่ออะไรไม่รู้ แต่ใครๆเรียกเขาว่า ผอ.
คนรู้ข้อมูลบอกว่า เขาเคยเป็น ผอ.โรงเรียนบ้านนอกแห่งหนึ่ง
ทีี่่มีนักเรียนทั้งโรงเรียนไม่ถึง 10 คน เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่รอทางราชการมายุบ

ตอนนี้เกษียณแล้ว  เลยมาใช้ชีวิตบั้นปลายกับแม่หม้ายคนนี้
ส่วนลูกเมีย ผอ. ไม่มีใครพูดถึง

ผอ.คนนี้คงมีสตางค์บำเหน็จบำนาญโขอยู่ จึงมาสร้างบ้านหลังใหญ่โตอย่างนี้ได้
ถ้าไม่บอกก็คงไม่มีใครรู้ว่าแกเป็น ผอ.
เพราะชอบนุ่งกางเกงขาสั้นเก่าๆ  ไม่ใส่เสื้อ  พุงพลุ้ย
เดินไปเดินมา ทำโน่นทำนี่  ดูไม่มีสง่าราศีแบบพวกข้าราชการอื่นๆ
ที่ชอบใส่เสื้อซาฟารี  และชอบเข้าร้านคาราโอเกะ

เรื่องของเรื่องเกิดจากอีตา ผอ.นี่เป็นคนขยันเกินไป
หลังบ้านของแกเป็นถนนเส้นเล็กๆ  ที่คั่นระหว่างบ้านกับลำเหมืองชลประทาน

เป็นลำเหมืองเส้นเดียวกับที่่ตาเป็งและนางแก้วโมโห มาสร้างกระท่อมอยู่

คนเคยมีอำนาจอยู่ในโรงเรียน แม้จะมีครูลูกน้องแค่คนเดียว
กับเด็กนักเรียนอีก 6-7 คน  แต่ก็เป็นอำนาจที่ติดตัวมาจนคุ้นชิน

อีตา ผอ.จึงไม่คิดจะถามไถ่ใคร
แกจัดการล้อมรั้วบริเวณผืนดินข้างลำเหมือง เลยหลังบ้านแกออกไป
ซึ่งที่จริงเป็นที่สาธารณะ  อยู่ในความดูแลของสำนักงานชลประทาน

ตาแก่ ผอ.ทำกรงเลี้ยงเป็ด  เลี้ยงไก่  กว้างยาวไม่ต่ำกว่า 3 เมตรคูณ 9 เมตร
แบ่งส่วนปลูกผักอีกต่างหาก  ล้อมรั้วไม้ไผ่แน่นหนา
ครอบครองที่ดินสาธารณะอย่างภาคภูมิ

ที่สำคัญแกคงคิดว่ากำลังสร้างวีรกรรม
ทำตัวให้เป็นตัวอย่างแก่ชาวบ้าน ในเรื่องของการพึ่งตัวเองอยู่กระมัง
โดยไม่เคยสำเหนียกว่า  การพึ่งตัวเองแบบนี้
จะกลายเป็นความเห็นแก่ตัว  หรือการเอาเปรียบสังคมใดๆทั้งสิ้น

ที่สำคัญกรงไก่ของแกไปสร้างติดหัวสะพาน
ที่ชาวบ้านใช้สัญจรไปมา  ทำให้มองไม่เห็นรถที่วิ่งสวนมาอีกด้าน
จนทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนกันตรงจุดนั้นหลายครั้ง

ขี้เป็ดขี้ไก่ก็ไหลลงลำเหมืองสาธารณะที่ชาวบ้านใช้กันอยู่
คนเป็น ผอ. คิดเรื่องนี้ไม่ได้ แปลกจริง
ชาวบ้านส่วนหนึ่งจึงพากันไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน

ผู้ใหญ่บ้านซึ่งปกติเป็นคนไม่ค่อยพูด  และไม่ค่อยมีเรื่องราวอะไรในหมู่บ้านให้แก้ไข
งานนี้ก็ยิ่งพูดไม่ออก เพราะเจอ ผอ. หัวหมอที่ดูมีสถานภาพสูงกว่า
จึงต้องวิ่งไปยืมมือเจ้าหน้าที่ชลประทานให้มาพูดแทน

ผอ.หัวหมอไม่ยอมรับคำสั่งของเจ้าหน้าที่ชลประทาน
ที่ให้รื้อถอนกรงเป็ดกรงไก่ออกเสีย

เหตุผลของตาแก่ ผอ.ก็คือ
ถ้าจะไล่เขา ต้องไล่ตาเป็งผีกุ๋มกับนางแก้วโมโหให้ได้ก่อน
เพราะสร้างอยู่บนที่สาธารณะเหมือนกัน

เอาล่ะซี ตอนนี้ตาเป็งกับนางแก้วถูกจับเป็นตัวประกัน

เจอไม้นี้ทุกคนก็อึ้ง
เจ้าหน้าที่ชลประทานกลับไปแล้ว
ผู้ใหญ่บ้านสั่นหัว  ส่ายหน้า
ชาวบ้านงง
ตาเป็งกับนางแก้วไม่รู้เรื่องว่าเขาพาดพิงถึงตัวเอง

และกรงเป็ดกรงไก่ยังคงอยู่เย้ยยุทธจักร

สรุปแล้วไม่เฉพาะแต่ตาเป็งผีกุ๋มและนางแก้วโมโห
ตัวละครทั้งหมดในเรื่องนี้
ล้วนเป็นคนสาละวีก