วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

ปิดตำนานสุภาพบุรุษบ้านไร่






ไอ้แจ้ตายเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธุ์
อากาศยังคงหนาวเย็นในช่วงเช้า
รวมเวลาที่มันอยู่กับเรานานร่วม 3 ปี

ไอ้แจ้นอนตายอยู่ข้าง ๆ บันไดนอกชานหน้าบ้าน
ขาตะปุ่มตะป่ำขนาดใหญ่อย่างนี้มีมันเพียงตัวเดียว
รุ่นลูกรุ่นหลานของมัน กี่ตัว ๆ ก็ไม่มีตัวไหนเหมือน
เป็นอันจบตำนานของจ่าฝูง หรือพ่อเล้าแห่งบ้านไร่ รุ่นบุกเบิกของเรา

พ่อบ้านฝังร่างของไอ้แจ้ไว้ที่โคนต้นตะแบก ในสวนหน้าบ้าน
ยายสวดมนตร์ส่งวิญญาณ บอกไอ้แจ้ให้ไปสู่สุคติ
ทุกคนรู้สึกเศร้า...
ความผูกพันมักนำพาเราไปสู่ความเศร้าและความเจ็บปวดเสมอ

หลังจากไอ้แจ้ตายราว 5-6 เดือน นังยุ่นก็จากเราไปอีกตัว

ก่อนที่จะรู้ว่ามันจากเราไปแน่แล้ว
นังยุ่นหายหน้าหายตาไปหลายวัน จนทุกคนพากันบ่นถึง

กระทั่งวันหนึ่ง เมื่อพ่อบ้านเข้าไปฟันต้นไม้ในสวน
เขาได้พบชิ้นส่วนท่อนล่างของไก่ตัวหนึ่ง แถวดงกล้วยหน้าบ้าน
ทุกคนมั่นใจว่าเป็นนังยุ่น
เพราะชิ้นส่วนที่เหลืออยู่คือท่อนขาสั้น ๆ
ที่มีขนสีขาวปุกปุย ปกคลุมอยู่ที่ข้อเท้า

น่าเศร้าที่เราไม่มีโอกาสได้เห็นมันอย่างครบสมบูรณ์ในวันสุดท้าย

พ่อบ้านฝังชิ้นส่วนที่เหลือของนังยุ่นไว้ใกล้ ๆ กับที่ฝังไอ้แจ้
โคนตะแบกต้นนี้จึงเป็นอนุสรณ์สถาน ให้เราได้คิดถึงพวกมัน
สัตว์ร่วมบ้าน ร่วมโลก ตัวเล็ก ๆ ในชีวิตช่วงหนึ่งของเรา

ส่วนนังบ้านนอก  วีรสตรีไก่ หรือแม่ไก่ดีเด่นของเรานั้น
เรายกคืนให้คนงาน คนที่เอามันมาให้
ให้ไปพร้อมลูก ๆ หลาน ๆ ของมันอีกหลายสิืบตัว
จะมีชะตาชีวิตเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่เจ้าของเดิมจะนำพา

เมื่อพ้นไก่พ่อเล้า แม่เล้า รุ่นบุกเบิกนี้แล้ว
เราก็แทบจะไม่สนใจไยดีไก่รุ่นหลัง ๆ ที่เหลือน้อยลงเกินครึ่ง
ทั้งจากการยกให้คนอื่นไปฟรี ๆ และจากการไล่ล่าของบรรดาแมวเร่ร่อน
ที่มาปักหลักอยู่บ้านเราอย่างถาวร

ไม่มีไก่ตัวไหนโดดเด่นอยู่ในใจเราเหมือนรุ่นแรก ๆ
ไม่มีความทรงจำพิเศษใด ๆ เหมือนรุ่นไอ้แจ้ สุภาพบุรุษบ้านไร่
นังขาว นังยุ่น หรือนังบ้านนอก

ไก่แม่ไหนฟักลูกออกมา ก็จะถูกจับยกฝูงแจกจ่ายไป 
ฝูงแล้วฝูงเล่า

กระทั่งถึงฝูงสุดท้าย ที่เกิดจากแม่ไก่สีน้ำตาลขาว
แม่ไก่และลูกเจี๊ยบน่ารักทั้ง 11 ตัว
ถูกจับให้คนข้างบ้านไปเช่นเคย

ยังเหลือก็แต่ทายาทของไอ้แจ้ - ไก่ตัวผู้อีกเพียงตัวเดียว
เพราะจับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน
เราไม่รู้จะเรียกชื่อมันว่าอะไร
ไป ๆ มา ๆ จึงเรียกว่า "ไอ้แจ้" เหมือนบรรพบุรุษของมันนั่นเอง
เพราะสีขนของมันถอดแบบออกมาจากไอ้แจ้บรรพบุรุษเกือบจะโดยสิ้นเชิง
ต่างกันแต่ที่ขาไม่มีก้อนตะปุ่มตะป่ำเหมือนแจ้เฒ่า

ไอ้แจ้จูเนียร์จึงต้องกลายเป็นไก่กำพร้า
โดดเดี่ยวและเดียวดาย หลังจากถูกพรากลูกพรากเมียไปหมดฝูง
นี่ถ้ามันรู้ความ ยอมให้เราจับเสียดี ๆ
มันก็คงได้ไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวแล้ว

เมื่อต้องเป็นไก่กำพร้า ไอ้แจ้ก็ดูน่าสงสาร
เหมือนสมัยที่ปู่แจ้ หรือตาแจ้ หรือว่าทวดแจ้ก็ไม่รู้ ของมันยังเป็นหนุ่มไม่มีผิด

มันจะบินสูงขึ้นไปอยู่บนยอดไม้
ต้องแหงนคอมองหากันเลยทีเดียว
ท่าทางของมันหงอยเหงาเศร้าซึม และไม่ค่อยส่งเสียงขัน
ผิดวิสัยไก่ตัวผู้ทั่ว ๆ ไป
นอกจากนั้นยังดูไม่มีกะจิตกะใจจะไปคุ้ยเขี่ยหาอาหารกินเอาเสียเลย

อาการหงอยเหงาของแจ้จูเนียร์ ทำให้เรารู้สึกเวทนา
เราพยายามไล่จับมันอีกหลายครั้ง แต่ก็จับไม่ได้

ดูเหมือนเคราะห์กรรมของไอ้แจ้จูเนียร์จะยังไม่หมด
เมื่อมีคนสังเกตเห็นว่ามันมักเดินเอียงตัว เอียงคอ  อยู่เสมอ
แต่ก็ยังไล่จับมันไม่ได้อยู่ดี

ในที่สุดเราก็รู้สาเหตุ.. ว่าเป็นเพราะตาของมันบอดไป 1 ข้าง
มันจึงต้องเดินตัวเอียงอย่างนั้น
ตาข้างที่บอด มองเห็นเนื้อเยื่อสีขาวขุ่นปิดอยู่ทั้งหมด

แจ้จูเนียร์ตาบอดด้วยสาเหตุใดไม่มีใครรู้
อาจจะเกิดจากการจิกตีกันเองก่อนหน้านี้
หรืออาจจะถูกงูฉกตาก็เป็นได้
แจ้จูเนียร์จึงกลายเป็นทั้งไก่กำพร้าและไก่พิการตั้งแต่บัดนั้น

พ่อบ้านบอกว่าไม่ต้องยกมันให้ใครอีกแล้ว
ไก่พิการอย่างนี้คงไม่มีใครอยากได้หรอก
เราก็เลี้ยงมันไปอย่างนี้แหละ  จนกว่าจะตายจากกันไป...

แจ้จูเนียร์จึงเป็นไก่ตัวสุดท้ายของเรา
ที่ทำหน้าที่บันทึกความทรงจำให้แก่ครอบครัวไก่บ้านไร่
เช่นเดียวกับที่ไก่เทียดทวด
ปู่ย่าตายายของมันได้ทำหน้าที่นั้นมาแล้ว...




วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

เลี้ยงไก่ไว้เป็นครู




 


เราเลี้ยงไก่มากมาย  แต่ไม่เคยเอาไก่มากินเลย
เคยกินไข่บ้าง  นาน ๆ ครั้ง
ไม่เคยจับมาฆ่า หรือให้ใครฆ่าให้
ทำไม่ได้  และไม่เคยคิดจะทำ

ฟังดูเหมือนดัดจริต
แต่จริตเรามันเป็นอย่างนี้จริง ๆ

แล้วจะเลี้ยงมันไปทำไม ?
บางทีเราก็เคยถามตัวเองอย่างนี้เหมือนกัน
ไหนจะเปลืองเงินซื้อปลายข้าว  เดี๋ยวถัง  เดี๋ยวถัง
ไหนจะเหม็นขี้ ที่พวกมันขี้ไปรอบบ้าน
ไหนจะวุ่นวายกับพวกมัน เรื่องนั้น เรื่องนี้

เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน....  พ่อบ้านเคยบอก
แต่ตอนนี้เขาคงท้อเหมือนกัน  เพราะเพื่อนเล่นขยายพันธุ์กันรวดเร็ว
จนมีเพื่อนเป็นร้อย  และชักจะไม่ไหว

เราเคยขายพวกมันไปครั้งหนึ่ง
มีคนมาติดต่อขอซื้อผ่านคนงานของเรา
ขบวนการจับไก่เริ่มขึ้นในตอนกลางคืน

บรรยากาศการจับไก่นั้นแย่ที่สุด
มีทั้งความโกลาหลวุ่นวาย  ทั้งจากคนและจากไก่
ความตระหนกตกใจที่เรียกว่า  ไก่ตื่น
และความกระอักกระอ่วนใจ
ความรู้สึกผิดของเราเองที่แฝงอยู่ลึก ๆ

เด็กสองคนในบ้านไม่ยอมหลับยอมนอน
กระวนกระวายไปกับการจับไก่ที่อึกทึกอยู่นอกบ้าน
ตัดพ้อต่อว่า ที่พ่อแม่ทำร้ายไก่

ขบวนการจับไก่ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะสงบ

พ่อบ้านถือไฟฉายเดินกลับเข้ามา
หลังจากคนจับไก่ 2-3 คนจากไปแล้ว
ทุลักทุเล...  และรู้ว่าไม่ใช่หนทางของเรา

เราขายไก่  10  ตัวได้เงินราว 400 บาท
แต่พ่อบ้านกลับแบ่งให้คนงานที่มาช่วยจับไปเสียครึ่งหนึ่ง

นั่นเป็นครั้งแรกที่เรา "ค้าขาย" พวกมัน
หลังจากนั้นพ่อบ้านก็ใช้วิธีแจกให้คนงานเอาไปเลี้ยง
ทีละครอก สองครอก
คนงานดีใจ  เท่ากับเราลงทุนให้พวกเขาได้ค้าขายต่อไป

ใครอยากได้ก็ให้มาจับเอาเอง
แต่เราขอสงวนตัวพ่อพันธุ์  แม่พันธุ์ เอาไว้
โดยเฉพาะสมาชิกรุ่นแรก ๆ ของบ้านไร่
ที่ถือว่ามีความผูกพันกันมายาวนาน

ประชากรไก่ของเราจึงลดลงบ้าง แต่ก็ยังแพร่พันธุ์กันต่อไปไม่หยุดหย่อน
จึงเกิดยุทธการชิงไข่กันขึ้น
ระหว่างพ่อบ้านกับแม่ไก่
พ่อบ้านจะรีบไปชิงไข่ ก่อนที่แม่ไก่จะเข้าไปฟัก ซึ่งบางครั้งก็ไม่ทัน
เพราะพวกหล่อนไข่พร้อม ๆ กันหลายแม่ และหลายรัง

บางครั้งพ่อบ้านจึงทำ "ไข่ปลอม" ไปวางในรัง เพื่อหลอกแม่ไก่
หลังจากขโมยไข่จริงของมันออกไปแล้ว

ไข่ปลอมทำจากเศษกระดาษเก่า  ขยำจนอ่อนตัว
ปั้นเป็นลูกรี ๆ ให้เหมือนไข่
สมองไก่คงแยกไม่ออกระหว่างไข่จริง ไข่ปลอม
ทำให้ยุทธการของพ่อบ้านใช้ได้ผลอยู่เหมือนกัน

วันหนึ่งฉันค้นเจอบทกลอนของท่านพุทธทาสบทหนึ่ง
ชื่อ "อาจารย์ไก่"
ทำให้ได้ข้อสรุปของตัวเองขึ้นมาโดยพลัน
ว่าเราเลี้ยงไก่ไว้ทำไม


"ถ้าคนเราเปรียบกับไก่ดูให้ดี      
มันไม่มีนอนไม่หลับ ไม่ปวดหัว
ไม่มีโรคประสาทประจำตัว        
โรคจิตไม่มากลั้วกับไก่น้อย

คนในโลกกินยาเป็นตันตัน          
พวกไก่มันไม่ต้องกินสักเท่าก้อย
หลับสนิทจิตสบายร้อยทั้งร้อย    
รู้สึกน้อยแห่งน้ำใจอายไก่เวย

ได้เป็นคนหรือจึงได้นอนไม่หลับ
ควรจะนับว่าเป็นบาปหรือบุญเหวย
มีธรรมะกันเสียนะอย่าละเลย
อยู่เสบยไม่ละอายแก่ไก่มัน..."

พุทธทาสภิกขุ


นั่นซีนะ ....
ไก่ไม่เห็นต้องเสียเวลาดูทีวีอย่างเรา
ตกค่ำมาก็หาที่หลับที่นอนของมันตามประสา
ไม่เคยเที่ยวกลางคืนให้เดือดร้อนวุ่นวาย
เช้าตรู่ก็ตื่นขึ้นมาขัน ทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์

แต่มนุษย์นี่สิ  ยุ่งยากซับซ้อน
และก่อปัญหาจนโลกยุ่งเหยิงไปหมด
ขอบคุณอาจารย์ไก่






วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

ตัวเมีย - แม่ไก่ดีเด่น






หลังจากไก่แจ้ของเราแพร่พันธุ์ ขยายประชากรกันอย่างรวดเร็ว
ปรากฏว่าเรามีประชากรตัวผู้มากกว่าตัวเมียหลายเท่า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร..

ดังนั้นเราจึงยังคงมีปัญหาเหมือนช่วงแรก ๆ
คือไก่ตัวเมียถูกบรรดาตัวผู้รุมโทรม จนทรุดโทรมไปตาม ๆ กัน

พ่อบ้านแก้ปัญหาโดยการยกไก่ตัวผู้ให้คนงานไปหลายสิบตัว
จะเอาไปเลี้ยงในบ้าน หรือเอาไปเลี้ยงในหม้อ (สำนวนของคนงาน) ก็แล้วแต่

ช่วงนั้นเองมีคนเอาไก่แม่สีดำล้วนมาให้เราตัวหนึ่ง
ฉันตั้งชื่อมันว่า  "นังบ้านนอก"
ฟังดูไม่ค่อยสุภาพ  แต่ใคร ๆ ก็เรียกมันว่านังบ้านนอก หรืออีบ้านนอกกันจนติดปาก

นังบ้านนอก เป็นไก่พันธุ์พื้นเมือง ที่มีเชื้อสายไก่ชนอยู่ในตัว
ลักษณะปราดเปรียว  ขายาว  ดูเหมือนไก่นุ่งจูงกระเบนสีดำ
มาใหม่ ๆ จึงดูแปลกแยกพิกล เพราะเราคุ้นตากับไก่ขาสั้น ๆ มาก่อน

นังบ้านนอก มีบุคลิกดูเด๋อด๋า  ซื่อ ๆ  แต่ก็มีความกล้าผสมบ้าบิ่นอยู่ในตัว
ไม่ได้ดูเรียบร้อย นุ่มนวล เป็นไก่คุณหนูเหมือนนังยุ่น  หรือไก่แม่ตัวอื่น ๆ
เพราะเธอมีเลือดนักสู้อยู่ในตัวนี่เอง
เธอจึงเลี้ยงลูกของเธออย่างถวายหัว  จนพวกเรายอมยกนิ้วให้

นับตั้งแต่การฟักไข่  เธอฟูมฟักไข่ของเธออย่างดี
ครอกแรกจึงฟักออกหมดทั้ง 11 ฟอง  ไม่มีเสียเลย
แม่ไก่ตัวอื่น ๆ จะฟักได้ราว 6-7 ตัวเป็นอย่างมาก

เมื่อเลี้ยงลูกน้อย เธอก็ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะตอนกินข้าว
แม่ไก่บางตัวเวลาให้อาหารจะทิ้งลูกไปเลย อาจเพราะหิวจัดหรือไงไม่รู้
ปล่อยให้ลูกเจี๊ยบยืนร้องเจี๊ยบ ๆ ๆ  อย่างหวาดกลัวอยู่นอกวง

ลูกเจี๊ยบนั้นมีบทเรียนว่า  ถ้าแหยมเข้าไปในวงกับเขาเมื่อไร
เป็นถูก "ขาใหญ่"  หรือ  "ไอ้ตัวใหญ่" ทั้งหลาย รุมไล่จิกตีแน่นอน

แต่นังบ้านนอกไม่เคยทิ้งลูกให้ยืนร้องเจี๊ยบ ๆ  อยู่ข้างนอกเหมือนแม่ตัวอื่น ๆ
ถ้าไอ้ตัวใหญ่หน้าไหนลองแหยมเข้ามาในฝูงลูกเธอล่ะก็  นังบ้านนอกสู้ยิบตา
ท่าไล่ฟัดของเธอน่านับถือจริง ๆ
เธอจะโก่งคอ  ขยับปีก  ยื่นหัวไปข้างหน้า ทำท่าพร้อมจะชน
จนไอ้ตัวใหญ่ไหนก็ไม่กล้าเข้ามาตอแยด้วย
จะมีก็แต่ไอ้แจ้ จ่าฝูงแห่งบ้านไร่เท่านั้น ที่นังบ้านนอกยำเกรงอยู่

อีกข้อหนึ่งที่ต่างจากแม่อื่นคือ  เธอจะดูแลลูกของเธอจนโตเกือบเข้าวัยรุ่น
ในขณะที่นางไก่ตัวอื่น ๆ  ทิ้งลูกกันแต่เยาว์วัยทั้งสิ้น
ลูกนังบ้านนอก 11 ตัว ที่เริ่มจะเข้าวัยรุ่น พากันเดินตามแม่มันต้อย ๆ
เป็นภาพแห่งความรักของแม่ลูกที่น่าประทับใจจริง ๆ

ถ้ามีการให้รางวัลแม่ไก่ดีเด่น
นังบ้านนอกตัวนี้แหละสมควรได้รับเป็นที่สุด

คราวนี้จะเล่าเรื่องของ "นังขาว" บ้าง
ลูกครอกแรกของนังขาวที่ฟักออกมามี 5 ตัว
มีตัวหนึ่งที่มีปัญหา

จะเป็นเพราะถูกแม่มันทับระหว่างกกไข่ในรัง
หรือจะเป็นมาแต่กำเนิดก็ไม่รู้  ทำให้มันเป็นไก่ขาพิการ เดินแทบไม่ได้
ช่วงที่ยังเป็นลูกเจี๊ยบก็กระย่องกระแย่ง  รั้งท้ายฝูงอยู่เสมอ
เราเรียกมันว่า ไอ้เป๋

ในช่วงแรก ๆ แม่ของมันก็ดูเหมือนพยายามเอาใจใส่ไอ้เป๋มากเป็นพิเศษอยู่เหมือนกัน
เช่นมักจะรั้งรอ เวลาพาลูกออกไปคุ้ยเขี่ยหาอาหาร
แต่ต่อ ๆ มามันก็เลิกใส่ใจโดยสิ้นเชิง
สัตว์อาจจะดีกว่ามนุษย์เราตรงที่ตัดใจได้ง่ายกว่ากระมัง ?

ไอ้เป๋ผู้น่าสงสารของเรา จึงถูกทอดทิ้งให้หากินโดดเดี่ยวยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
มิหนำซ้ำยังถูกรังแก ถูกจิกตีจากญาติพี่น้องของมันเองอยู่เสมอ ๆ

เมื่อไอ้เป๋ถูกแม่มันทิ้ง มันจึงได้รับความเมตตาสงสารจากเราเป็นทวีคูณ
มันไม่เคยอดอยาก กลับอ้วนท้วนสมบูรณ์ เพราะได้ข้าวกินมากกว่าตัวอื่น

แต่ดูเหมือนการทำบุญอย่างนี้ของเรา  กลับจะได้บาปมาแทนที่เสียมากกว่า
เพราะยิ่งอ้วน ไอ้เป๋ก็ยิ่งเดินไม่ได้
กว่าจะพาร่างอุ้ยอ้ายของมัน ถัดไถไปตามพื้นดินพื้นหญ้า
ก็ดูเหน็ดเหนื่อย น่าเวทนาเหลือประมาณ
บางครั้งมันจะซุกตัวนิ่งอยู่ในพงหญ้า เหมือนทอดอาลัยในชีวิต
บางครั้งก็ชะเง้อชะแง้ แลดูพี่ ๆ น้อง ๆ ของมัน คุ้ยเขี่ยหากินอยู่ในสวน

มันจะรู้สึกอิจฉาไก่ตัวอื่น หรือรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตัวเองบ้างหรือเปล่านะ
มันจะเคยร้องไห้เหมือนมนุษย์เราบ้างไหม
จริง ๆ แล้วมันคงไม่รู้สึกอะไร
เราต่างหากที่หดหู่ เศร้าใจ เพราะไปคิดแทนมัน

ในที่สุด พระเจ้าคงจะเห็นใจจึงมารับตัวมันกลับไป
(นี่เป็นวิธีคิดที่จะทำให้เราเสียใจน้อยที่สุด)

เย็นวันนั้นฉันขับรถออกไปทำธุระนอกบ้าน
ไอ้เป๋กระเสือกกระสนมาที่หลังบ้าน  ยายเห็นจึงโปรยข้าวสารให้มันกินจนอิ่ม
จากนั้นก็ไม่มีใครสนใจมันอีก

ฉันกลับเข้าบ้านโดยที่ไม่มีลางสังหรณ์แม้แต่นิดเลยว่าตัวเองจะเป็นฆาตกร
หลักฐานนอกจากร่างไร้ชีวิตของไอ้เป๋แล้ว
ก็คือคราบเลือดบนกอหญ้าที่ล้อรถแล่นผ่าน

เป็นค่ำคืนแห่งความเศร้าของบ้านไร่
มีเพียงความเงียบและบรรยากาศหดหู่
ลอยวนอ้อยอิ่งอยู่ในบ้านไร่ของเรานานหลายวัน...

หลังจากลูกครอกแรก  นังขาวก็ออกลูกมาอีกหลายครอก
กาลเวลาทำให้ความเจ็บปวดของคนเราแผ่วจางลง
เหลือเพียงความทรงจำให้ระลึกถึง

บ่ายวันหนึ่งฉันได้ยินเสียงลูกเจี๊ยบลูกนังขาวร้องกันเซ็งแซ่
นึกโมโหว่าแม่มันไปไหนวะ   ทำไมทิ้งลูกให้ร้องกระจองอแงกันอย่างนี้
เมื่อเดินตามหาก็พบว่านังขาวกำลังระริกระรี้อยู่กับไอ้แจ้ แถวซุ้มต้นการเวก
อาจเป็นเพราะถึงเวลาที่มันจะปล่อยให้ลูกเติบโตกันเองได้แล้วหรืออย่างไร

พานคิดถึงเมื่อวันก่อน
ที่เห็นพ่อบ้านกระชากแม่ไก่ตัวหนึ่ง ลงมาจากกิ่งต้นสะแกวัลย์
ที่พวกมันอาศัยเกาะนอนกันทุกคืน  ตอนนั้นเย็นย่ำแล้ว
แม่ไก่ตัวนั้นร้อง กระต๊าก ๆ ๆ  เสียงดังด้วยความตกใจ
พ่อบ้านด่าแม่ไก่โขมงโฉงเฉงจนทุกคนหัวเราะขำ

สาเหตุความโกรธของพ่อบ้านในวันนั้นก็คือ  แม่ไก่เลิกกกลูกนอน
จะด้วยเหตุผลอะไรของมันก็แล้วแต่  (แต่พ่อบ้านยืนยันว่าไม่มีเหตุผลอย่างสิ้นเชิง)
มันบินขึ้นไปเกาะกิ่งไม้นอน   ปล่อยให้ลูกน้อยทั้งฝูงร้องกระจองอแงอยู่ใต้ต้น
เพราะมันยังบินตามแม่ขึ้นไปไม่ได้

ตอนนั้นฉันรู้สึกขำอารมณ์โกรธของพ่อบ้าน
แต่ตอนนี้ฉันก็กำลังโกรธนังขาว ในอารมณ์เดียวกับที่พ่อบ้านโกรธแม่ไก่ตัวนั้นไม่มีผิด

ทำอะไรมันไม่ได้นอกจากบ่นด่า

"โธ่เอ๊ย...นังตัวเมีย..."






วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

ตัวผู้ - สุภาพบุรุษบ้านไร่








วันที่ไอ้แจ้มาอยู่กับเรา พร้อมกับนางแจ้อีก 1 ตัวนั้น  เป็นเดือนมีนาคม เมื่อหลายปีก่อน
ไอ้แจ้เป็นไก่ลูกผสม  จะว่าเป็นไก่แจ้ก็ไม่เชิง  เพราะตัวไม่เตี้ยมาก

คนที่เอามาให้บอกว่าไอ้แจ้เป็นไก่ต่อ  คือเอาไว้ล่อไก่ป่า
แต่เป็นเพราะความเจ้าชู้  แทนที่จะล่อตัวผู้ กลับเอาแต่ล่อตัวเมีย
เจ้าของเดิมโมโหเลยขายเสีย

ไอ้แจ้เป็นไก่หนุ่ม ล่ำสัน  ขนหลากสี  ทั้งเหลือง ดำ แดง น้ำตาล
ลักษณะเด่นสุดของมันคือมีขาที่ใหญ่มาก ดูแข็งแรง  ลักษณะเป็นตะปุ่มตะป่ำอย่างชัดเจน
ส่วนนางแจ้ที่มาด้วยมีขนสีเหลืองออกน้ำตาล  ตัวเล็กกว่าไอ้แจ้มาก

เราจับไอ้แจ้และนางแจ้ขังไว้ในสุ่มราว 1 อาทิตย์
ให้คุ้นกับบรรยากาศบ้านไร่ของเราเสียก่อน  ไม่งั้นมันจะพากันหนี
เราไม่คิดจะเลี้ยงแบบขังกรง  เมื่อไรที่มันเริ่มคุ้นเคยกับบรรยากาศ ก็จะปล่อยเป็นอิสระ

ในที่สุดมันก็คุ้นเคยกับบ้านไร่  และคงคิดว่าเป็นบ้านของมันแล้ว

น่าสงสารนางแจ้สีเหลืองน้ำตาลตัวนี้
ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะความ "เจ้าชู้ไก่แจ้" ของตัวผู้
หรือเพราะเธอเจ็บป่วยด้วยโรคประจำตัวอะไรอยู่ก่อนหรือเปล่า
ทำให้เธอชิงลาโลกไปก่อนเวลาที่ควรจะเป็น
นางแจ้มาอยู่บ้านไร่ของเราเพียงเดือนเศษ ๆ เท่านั้น

หลังจากนางแจ้จากไป ไอ้แจ้ก็เหงาและว้าเหว่อย่างเห็นได้ชัด
มันออกไปหากินไกลบ้านมากขึ้น
และมักกระโดดขึ้นไปเกาะขอนไม้ กิ่งไม้สูง ๆ เท่าที่จะขึ้นไปไหว
พลางโก่งคอขัน เสียงดังกังวาน  หันหน้าออกไปด้านนอกบ้าน
เรียกร้องความสนใจและเห็นใจ
เผื่อจะมีไก่สาว ๆ ละแวกใกล้เคียงได้ยินแล้วจะสนองตอบกลับมาบ้าง

แต่ก็ดูจะไร้ผล เพราะบ้านไร่ของเราตั้งอยู่โดดเดี่ยว ห่างไกลจากบ้านหลังอื่น ๆ
กระแสเสียงของไอ้แจ้ที่ส่งออกไป หรือแม้จะมีเสียงตอบกลับมา
ก็อาจจะได้ยินเพียงแว่ว ๆ  แผ่วเบา และอยู่ไกลเกินไปหา

ฟังดูโศกสลด รันทดใจแทนไก่เสียจริง ๆ

"ต้องหาไก่ตัวเมียมาให้มันแล้วล่ะ"  พ่อบ้านบอก
"ต้อง 5 ตัวนั่นแหละจึงจะพอ"
แม่จ้าว !!

ฉันมีหน้าที่ไปหาไก่แม่มาบรรณาการไอ้แจ้
ในที่สุดก็ได้มา 2 ตัว สีขาวทั้งคู่ จากตลาดทุ่งเกวียน
ตัวละ 200 บาท  พ่อบ้านบอกน่าจะไม่ใช่พันธุ์แท้
ถ้าเป็นพันธุ์แท้มันต้องแพงกว่านี้มาก

หนึ่งในสองนางไก่ที่ฉันซื้อมา  ตัวเตี้ยน่ารักมาก
มิหนำซ้ำที่ขาทั้งสองของเธอ ยังมีขนปกคลุม
ตัวเล็ก ๆ  ดูเผิน ๆ เหมือนนกพิราบมากกว่าจะเป็นไก่

กิริยามารยาทเธอดูเรียบร้อย  ต้วมเตี้ยม ตามประสาไก่ขาสั้น
ขนสีขาวของเธอ ถ้าพินิจพิจารณาดี ๆ  จะเห็นจุดสีเทาอ่อน ปนอยู่ประปราย

ฉันเรียกเธอว่านังญี่ปุ่น
เพราะมีอะไรหลาย ๆ อย่างเชื่อมโยงไปให้รู้สึกอย่างนั้น
แต่ต่อ ๆ มามันก็กลายเป็นนังยุ่นไปโดยปริยาย

ส่วนนางไก่อีกตัว  พวกเราเรียก "นังขาว"
บุคลิกเป็นกลาง ๆ ไม่มีอะไรเป็นจุดเด่น

หลังจากนั้นไม่นาน  ทั้งนังยุ่นและนังขาวต่างก็ให้กำเนิดลูกน้อยตามกันมาอีกหลายฝูง
แต่นังขาวดูจะมีความเป็นแม่มืออาชีพมากกว่านังยุ่นหลายเท่า
เพราะลูกเธออยู่รอดจนเติืบโตมามากกว่า

นังยุ่นดูเหมือนเลี้ยงลูกไม่ค่อยเป็น
มันมีบุคลิกเป็นไก่ "คุณหนู"  ที่ไม่อดทนต่อชีวิตทรหดเท่าไรนัก

อย่างที่พ่อบ้านพูดไว้ไม่มีผิด
ต้องหาไก่ตัวเมียมาให้ไอ้แจ้อย่างน้อย 5 ตัวจึงจะพอ
เพราะไอ้แจ้เล่นวิ่งไล่นางไก่ทั้งสอง ทั้งวัน  จนโทรมไปตาม ๆ กัน
บางทีเธอยังเลี้ยงลูกอ่อนอยู่แท้ ๆ  ไอ้แจ้ก็เข้าไปป้อ  ล่อหน้าล่อหลัง

เห็นวิธีหนีเอาตัวรอดของแม่ไก่แล้วยังนึกขำ
เธอนั่งลง  นั่งลงติดพื้นดิน  ไม่ยอมท่าเดียว
บางทีเธอถึงกับทิ้งลูกทิ้งเต้า  บินหนีขึ้นไปบนกิ่งไม้สูง ๆ
เจ้าตัวผู้ก็จะวิ่งวนอยู่ที่โคนต้น  ก็แปลกที่มันไม่บินตามขึ้นไป

ลูกเจี๊ยบตัวน้อย ๆ ตกใจที่แม่หาย  พากันร้องกระจองอแง
กระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง
ดูน่าเวทนาและน่าโมโหระคนกัน

แต่ไอ้แจ้ก็แสดงความเป็นสุภาพบุรุษออกมาให้เราเห็นหลายครั้งอยู่เหมือนกัน
บางครั้งมันเจออาหารอร่อยอย่างตัวหนอน ตกอยู่ตามพื้นดิน
ไอ้แจ้จะเรียกตัวเมียมากินก่อน  ตัวเองยอมเสียสละให้

นอกจากนั้นไอ้แจ้ยังมีภาวะผู้นำอย่างน่าทึ่ง
เช่นเวลาไก่หนุ่มสองตัวตีกัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องการแย่งตัวเมีย
ไอ้แจ้จะวิ่งเข้ามาขวาง  และสามารถยุติการสู้รบนั้นได้ทุกครั้ง

ความเป็นสุภาพบุรุษประสาไก่ตัวผู้ จะแสดงออกอีกครั้งตอนที่ตัวเมียท้องแก่ ใกล้จะออกไข่
เธอจะร้องด้วยเสียงทอดยาวติด ๆ กัน  "กู๊ก ๆ ๆ ๆ....."
เธอจะกระวนกระวาย  ลุกลี้ลุกลนอยู่กับการหาที่วางไข่

ในช่วงเวลาแบบนี้  ตัวผู้คู่ขาก็จะเฝ้าประกบ คอยดูแล
และพากันไปเสาะแสวงหาที่วางไข่  ตัวผู้จะบินนำขึ้นไปยังที่ต่าง ๆ
เท่าที่สมองน้อย ๆ และสัญชาตญาณของมันจะสั่งการ

ที่จริงเราก็ช่วยเตรียมการให้พวกมันด้วยเหมือนกัน
เช่นเอากระบุง ตะกร้า  ไปวางไว้ตามที่ต่าง ๆ ที่คิดว่ามันอาจจะสนใจเข้าไปจับจอง
เช่นวางคร่อมไว้ตามง่ามไม้เตี้ย ๆ จะได้ไม่ต้องบินขึ้นไปสูงนัก
ในภาชนะเหล่านั้นก็จะปูผ้า ปูฟาง เตรียมไว้ให้อย่างดี

แต่พวกเธอก็ดูเหมือนจะยังเรื่องมากและเลือกมาก  กว่าจะหาที่ได้ลงตัว
และบางทีก็หาที่ลงตัวไม่ได้
เช่นที่ครั้งหนึ่งเธอบินขึ้นไปไข่บนหลังคารถจี๊ปคันเล็กของเรา
เมื่อฉันขับรถจี๊ปออกไป  ไข่ของเธอจึงกลิ้งหลุน ๆ ตกลงมาแตกกระจาย

อีกตัวหนึ่งบินขึ้นไปไข่ในลังอุปกรณ์เครื่องมือช่างของพ่อบ้าน
วางไข่ปะปนอยู่กับค้อนคีม แปรงทาสี กล่องตะปู
อีกแม่หนึ่งเก๋มาก  ขึ้นไปไข่บนไม้กระดานแผ่นเดียว ที่วางพาดบนขื่อเพดานโรงรถ

อีกตัวหนึ่งขึ้นไปไข่ในกระเช้าแขวนกล้วยไม้เก่า ๆ
เธอไปนอนเบียดทับต้นกล้วยไม้ ซึ่งโทรมอยู่แล้วต้นนั้นให้โทรมยิ่งขึ้นไปอีก
เธอจึงได้ฉายาจากพวกเราว่า "นังกระเช้า" ตั้งแต่บัดนั้น

แต่ตัวที่เก๋สุด ๆ ก็คือนังสุ่ม

สุ่มที่เราเตรียมไว้ให้เป็นที่อยู่ของไก่แม่ลูกอ่อน
เหมือนเป็นเนอสเซอรี่แม่ไก่
ไก่แต่ละแม่จะเข้ามาใช้บริการ หมุนเวียนกันไป
จนกว่าลูกเจี๊ยบจะแข็งแรงพอที่จะออกไปเผชิญโชคข้างนอกได้

ถึงตอนหัวค่ำ  พ่อบ้านจะเอาผ้าพลาสติก หรือไม่ก็สะแลนมาคลุมสุ่ม
เหน็บชายกับขอบสุ่มจนเรียบร้อย
ป้องกันอันตรายจากงูเงี้ยวเขี้ยวตะขอ ที่อาจจะย่องมาฉกลูกเจี๊ยบไปกินกลางดึก

ถึงตอนเช้าก็จะเปิดผ้าคลุมสุ่มออกเพียงครึ่งเดียว เพื่อเวลาคลุมใหม่จะได้ง่าย
แค่คลี่ส่วนที่ทบอยู่บนสุ่มลงมา ก็เป็นอันเรียบร้อย

วันหนึ่ง นังสุ่ม (ชื่อที่ได้มาทีหลัง)  ก็ขึ้นไปนอนเอ้เต้อยู่บนยอดสุ่ม

ส่วนบนสุดของสุ่มจะเป็นช่องกลม ๆ กว้างประมาณสัก 6-7 นิ้ว
ประมาณให้เอามือลอดลงไปได้ถนัด ใช้เป็นที่จับเมื่อต้องการยกสุ่มขึ้น
นังสุ่มขึ้นไปนอนตรงช่องนั้นได้ก็เพราะตรงนั้นมีผ้าพลาสติกพาดทับอยู่พอดี

เธอไปไข่ไว้ตอนไหนไม่มีใครเห็น
กว่าจะเห็นก็มีไข่อยู่ตรงนั้น 11 ฟองแล้ว
ผ้าพลาสติกตรงที่เธอไปไข่ไว้ หย่อนลงในช่องกลม
ห่อไข่เอาไว้เป็นพวง..

พ่อบ้านตั้งข้อสังเกตว่า  ไข่ที่เห็นอาจจะเป็นไข่ที่มาจากหลายแม่ก็ได้
เพราะเคยมีหลายครั้ง ที่นางไก่ทั้งหลาย แย่งที่วางไข่กันนัวเนียไปหมด
แล้วก็ไปไข่ทับถมกันในรังเดียว

ที่ตลกกว่านั้นก็คือ  เคยมีแม่ไก่สองตัว ร่วมกันฟักไข่ในตะกร้าเดียวกัน
จะผ่านการจิกตีกันมาก่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้  แต่ที่สุดคงตกลงกันได้
จึงได้มานอนกกไข่เคียงกันอยู่อย่างนี้

พอลูกเจี๊ยบทั้งหมดฟักออกมาแล้ว  ไก่สองแม่ก็ช่วยกันเลี้ยงดูลูกอย่างไม่เกี่ยงงอน
มันพาลูกออกไปคุ้ยเขี่ยหาอาหารด้วยกัน  ไปไหนไปกันว่างั้นเถอะ
ถึงเวลานอนก็กลับมานอนด้วยกันอีก
มหัศจรรย์แท้ ๆ

ที่จริงตอนนี้ฉันคิดจะเล่าเรื่องราวของ "ตัวผู้"
แต่ทำไมมันกลับมาจบลงที่ "ตัวเมีย" ก็ไม่รู้




วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

ชุดนอนสีชมพู








ในช่วงชีวิตของคนเรา  มักมีเรื่องโหดร้ายหรือแสนเศร้าเกิดขึ้น
อย่างน้อยที่สุดก็ครั้งหนึ่งเสมอ

เมื่อครั้งเรียนจบใหม่ ๆ  ฉันได้เข้าทำงานเป็นพนักงานบัญชี
ของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าชื่อดัง  ที่เพิ่งเปิดใหม่แห่งหนึ่ง

ถึงจะเพิ่งเปิดใหม่  แต่ก็เป็นโรงงานใหญ่  เพราะทำเสื้อผ้าแบรนด์เนมชื่อดัง
มีคนงานเป็นร้อย
ส่วนพวกพนักงานออฟฟิศอย่างพวกเรา  มีอยู่ราว 7-8 คนเท่านั้น

บรรยากาศการทำงานในโรงงานค่อนข้างดี
ผู้จัดการหรือเจ้าของโรงงาน แม้จะเป็นลูกเศรษฐีแต่ก็เป็นคนง่าย ๆ ไม่ถือตัว
เป็นที่รักใคร่ของคนงานพอสมควร
คนงานร่วมร้อยและพวกออฟฟิศต่างก็รู้จักถึงกันหมด

งานแบ่งเป็นหลายแผนก  แผนกตัดมีช่างผู้ชายสองคน
เงินเดือนค่อนข้างสูง  อาวุโสพอ ๆ กัน
แผนกเย็บ นั่งตามจักรต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ราว 50 - 60  เครื่อง
จักรแต่ละตัวเป็นจักรอุตสาหกรรมขนาดใหญ่  เย็บทีละ 2-3 เข็มก็มี

ส่วนแผนกที่สำคัญรอง ๆ ลงไป  เป็นคนงานด้อยฝีมือ ค่าแรงต่ำกว่า
มีพวกตัดด้าย  คอยตัดชายด้ายจากพวกที่เย็บเสร็จ
แผนกสต๊อกผ้า  สต๊อกสำเร็จรูป  เด็กยกของ  แม่บ้าน
รวมทั้งแขกยาม นั่งเฝ้าประตูโรงงาน ที่ทุกคนเรียกว่า "บาบู"

คนงานส่วนใหญ่ความรู้น้อย  ฐานะยากจน  หาได้ไม่คุ้มตัวกันทั้งนั้น
คนที่พอมีทรัพย์สินอยู่บ้าง หรือคนที่อดออมจริง ๆ เท่านั้น จึงจะพออยู่ได้

ป้านวล  เป็นคนงานระดับหัวหน้างานคนหนึ่งที่อยู่ในฐานะไม่เดือดร้อน
ซ้ำยังมีเงินให้คนงานด้วยกันกู้  ในอัตราสากลคนนอกระบบ
ร้อยละ 5  ร้อยละ 10  ต่อเดือน  ตามสภาวะตลาด หรือปัจจัยส่วนบุคคล
เก็บดอกเป็นรายเดือน  หรืออาจจะรายวันด้วยซ้ำ

ลูกค้าของป้านวล เท่าที่พอรู้มีอยู่ไม่น้อย
หนึ่งในจำนวนนั้นคือ "ไหม"  สาวเชื้อจีน  แม่ม่ายลูกสอง

พวกคนงานถือว่าพวกออฟฟิศอย่างเราเป็นคนอีกระดับหนึ่ง ที่เหนือกว่าพวกเขา
พวกเขาเรียกเราว่า "คุณ"  นำหน้าชื่อกันทุกคน
หากใกล้ชิดหน่อยก็จะเรียก "พี่" ในเชิงให้เกียรติ มากกว่าจะถือตามอาวุโส

ไหม มักมาทำงานสาย  ตอกบัตรสีแดงเต็มพรืดเกือบทั้งเดือน
ถ้ามาสายก็จะถูกหักเงินเดือนไปตามเวลาที่ขาด
ถ้าใครไม่เคยสาย  ไม่เคยขาดเลยในเดือนนั้น
จะได้เบี้ยขยันเพิ่มมาอีกเดือนละ 25 บาท  (เมื่อ 30 กว่าปีก่อน)

ดังนั้น ก่อนเวลาเข้างาน 8 โมงตรง
ภาพที่เห็นเจนตาก็คือบรรดาคนงานพากันวิ่งสุดชีวิต
เพื่อจะไปให้ถึงเครื่องตอกบัตรก่อน 8 โมงให้ได้
เพราะเพียงแค่เวลาเปลี่ยนไปเป็น 8.01  
สีหมึกบนใบงานก็จะเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีแดงทันที

ไหม ไม่เคยมาทำงานทัน  หรือทันก็น้อยวันมาก
สอบถาม เธอบอกว่า เธอมีเงินค่ารถเมล์นั่งจากบ้านตลาดพลู มาถึงแค่สวนลุมฯเท่านั้น
จากสวนลุมฯ จึงต้องเดินไปโรงงาน ที่อยู่แถวเพลินจิต
เป็นระยะทางราว 1 กิโลเมตร

อะไรจะขนาดนั้น !!

จากเรื่องค่ารถเมล์  ทำให้ฉันสนใจใคร่รู้เรื่องราวของเธอเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ไหมมีหนี้สินจากการกู้ยืม ทั้งจากป้านวล และคนอื่น ๆ ทีละเล็กละน้อย
จนกระทั่งดอกเบี้ยก็ไม่มีปัญญาส่ง

ผัว - ผู้ชายที่ไร้ความรับผิดชอบคนนั้น ทิ้งเธอและลูกไป
ตั้งแต่ลูกคนเล็ก เพิ่งจะอายุได้เพียง 2-3 เดือน

พี่น้องของเธอก็พอมีอยู่บ้าง  แต่ละคนต่างก็ทำมาหากินแค่พอคุ้มตัว
ใครก็ไม่อยู่ในฐานะจะช่วยใครได้

เรื่องราวของเธอฟังดูดราม่าเหมือนนิยายน้ำเน่าไม่รู้จบ

วันหยุดวันหนึ่ง  ฉันไปบ้านเพื่อนแถววงเวียนใหญ่
เสร็จธุระแล้วจึงลองนั่งรถเลยไปตลาดพลู
และตามหาบ้านเธอจนพบ

ไหมตกใจมากที่เห็นฉัน  เธอคงอายสภาพบ้านช่อง
มันเป็นบ้านเช่า ลักษณะไม่ต่างจากบ้านในสลัม

ห้องแถวไม้สองชั้นดูเก่าโทรมเต็มที
เธอกับลูกเช่าอยู่ชั้นล่าง  ชั้นบนมีคนเช่าอยู่อีกครอบครัวหนึ่ง
สภาพภายในบ้านมืดสลัว  แม้จะเป็นเวลากลางวัน
มันน่าจะเป็นโกดังเก็บของ  มากกว่าจะเป็นที่อยู่ของมนุษย์






วันรุ่งขึ้น  ฉันตัดสินใจเรียกไหมมาถาม  ว่าเธอมีหนี้สินทั้งหมดอยู่เท่าไร
นับเป็นความบ้าบิ่นของพนักงานใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานครั้งแรกในชีวิตอย่างฉัน

เธอบอก หนี้เงินต้นทั้งหมดมีเพียง 2 พันบาท (เมื่อ 30 กว่าปีก่อน)
น้อยกว่าค่าอาหารกลางวันของบางคน..

ฉันนัดให้เธอมารับเงิน 2 พันในวันรุ่งขึ้น
เป็นเงินที่เริ่มเก็บออมจากการทำงาน ก้อนแรกในชีวิต

"เอาเงินนี้ไปใช้หนี้ให้หมดเลยนะ  อย่า่ให้มีหนี้อีก  แล้วเธอมาผ่อนกับพี่เดือนละ 200
ไม่ต้องมีดอกเบี้ย"
เธอพนมมือไหว้  นัยน์ตารื้น

ถึงช่วงปีใหม่  ฉันได้รับ ส.ค.ส. จากลูกสาววัย 8 ขวบของเธอ
เป็นภาพพุทธประวัติ เหมือน ส.ค.ส.ราคาถูกที่วางขายอยู่ทั่วไป
ลายมือโย้เย้แบบเด็ก ๆ เขียนด้วยดินสอ
อวยพรความสุขให้ "คุณน้า"  ลงชื่อจาก "น้องอ้อ"

ที่พิเศษไปกว่านั้น  มีถุงของขวัญจากไหม
ฉันถึงกับโวยวายด้วยความรู้สึกเสียดายเงินแทน
แต่ก็ขอบคุณในน้ำใจ ที่เธอคงคิดว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว
แทนการขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง

ถึงบ้าน ฉันแกะห่อของขวัญ
มันคือชุดนอนสีชมพูสด  เนื้อผ้าชีฟองบางเบาสองชั้นดูฟูฟ่อง
มีลูกไม้จับจีบระบายเต็มอก  ราคาอาจจะไม่แพงนัก  แต่ก็คงไม่ถูก

"โธ่เอ๊ย..."  ฉันอุทานอยู่คนเดียว  ขำ ๆ ขื่น ๆ อย่างไรพิกล
คิดถึงหางเครื่องกับสีสันสดจ้าบนเวทีลูกทุ่ง

"ชุดนอนสีชมพู"  แขวนอยู่ที่ราวนานวัน  ฉันยังไม่เคยเอามาใส่
ค่าที่ไม่ค่อยคุ้นกับชุดทำนองนี้  และรู้สึกว่ามันหรูหราเกินไป

"หวังว่าอะไร ๆ ในชีวิตของเธอ คงจะสดใสขึ้นเหมือนสีชมพูนี่นะ ไหม.."
ฉันรำพึงอยู่ในใจ

แต่...
โลกนี้ช่างเต็มไปด้วยคำว่า แต่..

อะไรหนอที่ทำให้ฉันคิดอะไรง่าย ๆ  ว่าชีวิตของเธอน่าจะดีขึ้น
หากว่าได้ใช้หนี้สินหมดแล้ว

ชีวิตมีอะไรที่ซับซ้อน  สับสน ยิ่งกว่าเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ

อะไรหนอที่มืดดำ บีบคั้นอยู่ในหัวจิตหัวใจของคนเรา
เสียจนแม้แต่ต้นไม้แห่งความหวังต้นเล็ก ๆ สักต้น  ก็ไม่มีที่ให้งอกเงย

ไหมฆ่าตัวตาย  หนีความดำมืดทั้งมวล
มันอาจเป็นทางสว่างเพียงสายเดียวที่เธอคิดได้
แต่มันก็กลับเป็นทางมืด
ที่พาดทับลงบนชีวิตลูกน้อยทั้งสองอย่างโหดร้ายที่สุด

เวทีเจิดจ้าที่ฉันเคยจินตนาการไปถึง  พลันดับวูบลงต่อหน้าต่อตา

ไหมแขวนคอตาย ในบ้านเช่าหลังที่ฉันไปหา
ลูกทั้งสองไปอยู่กับน้าสาวของพวกเขา
ป่านนี้คงโตมากแล้ว - หากว่าเธอยังมีชีวิตอยู่

ชุดนอนสีชมพู แขวนอยู่ที่ราวเพียงสองเดือนเศษ
ก่อนจะถูกพับเก็บเข้าตู้ เพียงเพราะฉันอ่อนแอเกินกว่าที่จะเห็นมันอีกต่อไป

ฉันย้ายบ้านครั้งแล้วครั้งเล่า
ในที่สุดชุดนอนสีชมพูก็หายไปในครั้งไหนไม่รู้
เหมือนชีวิตของเธอที่หายไปจากโลกนี้

จนบางครั้งฉันอดถามตัวเองไม่ได้ว่า
เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริง ๆ หรือเปล่า....







วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556

อุบัติเหตุ






ตั้งแต่ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย 
ฉันตั้งใจอยากเป็นสมาชิกชมรมวรรณศิลป์ให้ได้

ชมรมวรรณศิลป์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในครั้งกระโน้น ต่างก็มีบทบาทและมีชื่อเสียงกันพอสมควร
โดยเฉพาะการออกจุลสารวรรณศิลป์ "เล่มละบาท"

รวมทั้งอิทธิพลของการเขียนกลอน  ซึ่งก็เป็นกลอนโรแมนติกเสียเป็นส่วนใหญ่
เด็กบ้านนอก ม.ปลายอย่างฉัน เคยติดรายการวิทยุที่ว่าด้วยกลอนรัก ๆ ใคร่ ๆ จนงอมแงม
ยุคนั้นมีหนังสือ "ศาลาคนเศร้า" ออกมาขาย ก็เฝ้าอุดหนุน เป็นแฟนประจำ
พร่ำเพ้อฝันหวานกันไปในคนรุ่นเดียวกัน

หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว 
ชมรมแรกที่ฉันไปเลียบ ๆ เคียง ๆ เมียงมองอยู่หน้าห้อง ก็คือชมรมวรรณศิลป์ เหมือนที่ตั้งใจไว้

และบุคคลแรกที่ฉันได้พบที่หน้าประตูชมรมในวันนั้น
ก็คือ พี่อี๊ด  - ไพลิน รุ้งรัตน์  ซึ่งเป็นพี่ปี 4  และกำลังไฟแรงในตำแหน่งประธานชมรม

และแล้ว ฉันก็ถูกดึงดูด ติดหนึบอยู่กับชมรมวรรณศิลป์ตั้งแต่บัดนั้น
แม้ว่าต่อมาจะแยกร่าง ออกไปสิงสถิตอยู่กับชมรมศึกษาและวิจัยชาวเขาที่ห้องชมรมอยู่ใกล้ ๆ กัน
ออกค่ายกับเพื่อนชาวค่ายทุกปี
จนกลายเป็นความผูกพันแนบแน่นอีกสายหนึ่ง

แต่สายสัมพันธ์กับเพื่อนพ้อง พี่น้องชาววรรณศิลป์ก็ยังคงเหนียวแน่น
และสืบต่อมาถึงปัจจุบันเช่นกัน

ย่างเข้าปีที่ 2  ฉันได้เป็นกรรมการชมรมวรรณศิลป์ด้วยคนหนึ่ง
เราคิดทำโครงการใหม่ ๆ กันหลายอย่าง
เพื่อพยายามจะก้าวไปให้พ้นจากการถูกกล่าวหา ว่าพวกวรรณศิลป์ เอาแต่เขียนกลอนหาผัวหาเมีย

รายการ "คุยกับนักเขียน" เป็นงานที่ฉันร่วมรับผิดชอบอยู่ระยะหนึ่ง
เรามักปูเสื่อ  เชิญนักเขียนมานั่งคุยให้เราและผู้สนใจฟัง ที่ริมสระน้ำ ข้างศาลาพระเกี้ยว
คนสนใจมีไม่มากนัก  ครั้งที่ผู้ฟังล้นหลามเป็นประวัติการณ์ที่สุด
ก็คือครั้งที่ชมรมฯเชิญ รงค์ วงษ์สวรรค์  ซึ่งกำลังโด่งดังเป็นพลุ
คราวนั้นจัดคุยที่ชมรม  จำได้ว่าผู้คนเบียดเสียดล้นออกมานอกห้อง 
ต้องยืนชะเง้อชะแง้กันจนเมื่อย

ส่วนครั้งที่ฉันและเจ้าหน่อย เพื่อนรัก หน้าแตกจนหมอไม่รับเย็บ จนเป็นที่มาของเรื่องนี้นั้น
ก็คือครั้งที่ชมรมจัดคุยกับ  กฤษณา อโศกสิน  ที่เพิ่งได้รับรางวัล สปอ. จากเรื่อง "ตะวันตกดิน"

บ่ายนั้น ฉันกับเจ้าหน่อย (พงษ์ศักดิ์ วรยิ่งยง) เหรัญญิกชมรม เพื่อนสนิทคนเดียวจากคณะที่เรียน
ขึ้นรถเมล์ไปที่สำนักงาน สตรีสาร  ข้างวัดตรีทศเทพ
เพื่อไปรับนักเขียน  "กฤษณา อโศกสิน"  ตามที่ได้นัดแนะกันล่วงหน้า

ตอนที่เราไปถึง "สตรีสาร" เราเห็นรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่หน้าสำนักพิมพ์
ลักษณะเหมือนจอดรอคน เพราะคนขับรถนั่งอยู่ประจำที่
เหมือนเตรียมพร้อมที่จะออกรถตามคำสั่งทุกเมื่อ

ไม่รู้ว่าผีตัวไหน แกล้งดลใจทั้งฉันและเจ้าหน่อยให้เข้าใจเหมือนกันว่า นั่นคือรถของนักเขียนของเรา !!

ดังนั้น หลังจากขึ้นไปพบเธอและแนะนำตัวเองแล้ว เราทั้งสามก็เดินคุยกันลงบันไดมา
เหตุการณ์ตอนนี้ออกจะเบลอร์ ๆ สับสน มีการพูดอะไร อย่างไร ฉันก็จำไม่ได้
รู้แต่ว่าเราทั้งสามก้าวขึ้นไปนั่งเอ้เต้  สง่างาม อยู่ที่เบาะหลังของรถเก๋งที่ยังคงจอดอยู่
แถมยังคุยกันไม่หยุด

ข้างฝ่ายพลขับก็ดูไม่อนาทรร้อนใจใด ๆ  เหตุการณ์ช่วงนี้ผ่านไปหลายนาที
จนเราทั้งสองฝ่าย (อาจจะรวมฝ่ายคนขับด้วยเป็นสาม) เริ่มรู้สึกทะแม่ง ๆ
มีลางสังหรณ์แปลก ๆ และมีคำถามในใจว่า..  ทำไมยังไม่ออกรถหว่า

และแล้วหน้าตาที่ค่อนข้างหนาของฉันและเจ้าหน่อยก็เริ่มปริแตก
หลังจากออกปากซักถามกันและกันไปมา
ข้างฝ่ายพลขับก็เข้าใจว่าเราเป็นแขกของเจ้านายเขา
ที่กำลังติดต่อธุระกับอาจารย์นิลวรรณ ปิ่นทอง
แล้วยังไม่ลงมาสักที

ทุกฝ่ายจึงบรรลุถึงซึ่งความเข้าใจ  ต่างก็ให้อภัยแก่กัน
แต่คนที่ไม่น่าให้อภัยที่สุดก็คือฉันกับเจ้าหน่อยนี่แหละ  ที่เกือบจะทำให้ผู้ใหญ่เสียคนไปด้วย

จากนั้นก็พากันกระมิดกระเมี้ยนลงไปโบกแท็กซี่
อายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

คิดขึ้นมาทีไร ยางอายยังไหลอยู่เลย