วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

ยอดมนุษย์







พี่คะ....  วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ปลอดโปร่ง ว่างงาน
น้องเก็บกวาดข้าวของรุงรังทั้งหลายในบ้าน อันเป็นงานที่ทำมาตลอดชีวิต และไม่เคยเสร็จ
ได้พบจดหมายของพี่ปึกใหญ่  (น้องไม่เคยทิ้งจดหมายของใครเลยสักฉบับ)

น้องตกใจเมื่อเหลือบดูวันที่  จากจดหมายฉบับแรก  8  สิงหาคม 2528....
แม่จ้าว..  เวลาผ่านไปเกือบ 30 ปี
ให้ความรู้สึกน่าตกใจไหมล่ะคะ

ลายมือคุ้นตาของพี่  บนกระดาษแผ่นยาว มีเส้นบรรทัด
สีหมึกยังสดใส   ลีลาการเขียนของพี่  ที่เหมือนพี่มายืนจ้ออยู่ตรงหน้า

ทำไมน้องจึงรู้สึกเหมือนเราเพิ่งนั่งคุยกันเมื่อไม่นานมานี้เอง....

น้องยังจำรสชาติน้ำพริกกะปิ ที่มีกะปิอย่างดี  กุ้งแห้งอย่างดี เป็นเครื่องปรุงได้ดี
กุ้งแห้งสีส้มอ่อนตัวอ้วน ๆ ในกระป๋องใบใหญ่  ที่พี่ชอบยกมาอวด
คุยว่ามีคนเอามาฝาก  แล้วเปิดฝาหยิบกินเอา ๆ  ยังกับกินขนม  ทั้งทีึ่่่มันก็ยังเค็มอยู่ดี

พริกขี้หนูสด  กระเทียมสด  มะเขือพวง  กับน้ำตาลโตนดอีกนิดหน่อย
โขลกรวม ๆ กันเข้าไป  คลุกเคล้ากับกะปิและกุ้งแห้ง แล้วก็บีบมะนาวที่เด็ดมาจากต้นท้ายครัว
เติืมน้ำขลุกขลิก (บางคนไม่ยอมให้เติมเด็ดขาด)  คนให้เข้ากัน

กินกับข้าวสวยหุงร้อน ๆ
เด็ดยอดผักบุ้งริมสระมาลวก  หรือยอดกระถินข้างรั้วสักกำมือหนึ่งมากินด้วย
มีปลาทูทอดสัก 2 -3 ตัวยิ่งวิเศษ
แค่นั้นก็เอร็ดอร่อย   น้ำหูน้ำตาเล็ด

มื้อเย็นพุงกางผ่านไป  ก่อนจะเริ่มการสนทนาสัพเพเหระทางวรรณกรรมหรืออื่น ๆ
ไปจนกระทั่งดึกดื่น   มีน้ำชากาแฟตามอัธยาศัย
มีแต่พี่นั่นแหละที่ไม่กินกาแฟ  พิลึกคน

ดึกแล้ว  สมาชิกคนไหนทนไม่ไหวก็เอนตัวลง
ทำท่าตะแคงฟังแบบตาปรือ ๆ  แล้วก็ค่อย ๆ ร่วงผล็อย หลับกรนไปก่อนเพื่อน
เสียงคนอื่นเดี๋ยวเบา เดี๋ยวดัง  แทรกเสียงหัวเราะเฮฮา ผ่านเข้ามาในโสตประสาท

บางคนนอนเอาแรงได้หน่อยก็ลืมตาตื่นขึ้นมากิน  แล้วจ้อกันต่อ
ใช้ชีวิตเหมือนเครื่องจักรแรงม้าสูง  ในวันที่ยังมีกำลังวังชา

บางครั้งก็ทำตัวเหมือนยิปซีร่อนเร่กลางทะเลทราย
ไปนอนบ้านคนนั้น คนนี้  แบบไม่กลัวคำนินทา - เพราะไปกันเป็นฝูง
ความสวยความงามแบบหญิง ๆ ไม่เคยไยดี  เอาแต่เนื้อ ๆ
เพื่อนชายได้แต่ส่ายหัว  ที่พวกหญิงหึก (ห้าวบวกถึก) ทั้งหลายไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ไม่เคยหยุดท้อถอย

นั่งคุย นอนคุยกันซะขนาดนั้นแล้ว  ก็ยังเขียนจดหมายตามมาคุยกันอีก
ฉบับแล้วฉบับเล่า  คนแล้วคนเล่า
สมกับเป็นนักเขียน (และนักคุย) เสียจริง ๆ

น้องรู้มาว่า พี่เขียนจดหมายถึงใครคนหนึ่งทุกวัน
เป็นเวลานับสิบ ๆ ปี ไม่เคยเว้น
ใครคนนั้น เป็นคนที่มีความหมายต่อพี่มาก
บุรุษไปรษณีย์คงจะมีคำถามกับจดหมายลายมือนี้

สิ่งที่น้องอยากรู้ก็คือ..
คนรับยังเก็บจดหมายหลายพันฉบับนั้นอยู่หรือเปล่า
และเธอรู้สึกกับมันอย่างไร..

หากมีเวทมนตร์
น้องอยากเสกให้จดหมายกองนี้ไปสถิตอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่ไหนสักแห่ง
ที่จะบอกให้โลกรู้ว่า  นี่แหละคือความรัก ที่ชายคนหนึ่งมีต่อหญิงสาวของเขา..
พี่อย่าเพิ่งด่าหรือทำท่าคลื่นไส้  เพราะน้องพูดออกมาจากใจจริง

"...เราเพิ่งเจอคนแปล วิมานลอย  ผู้หญิงคนนั้นแปลได้ไง  แค่เพียงอายุ 19
เรานั่งคุยกันอย่างมีความสุขยิ่ง  อายุแค่นั้นก็พบแล้วว่าคนเรามีหลายด้าน
และมีพัฒนาการในตัวละคร   งานแปลดี ๆ นั้นหนักนะ  ต้องลงทุน  ซื้อดิคฯชุดใหญ่ ๆ ราคาแพง
ต้องพิมพ์ ต้องอ่านสารพัด  เป็นงานที่ไม่คุ้มกันเลย  คนพวกนี้เป็นคนใจถึง.."

"...เมื่อคืนเราก็คุยกับเพื่อนฝรั่งเศสเรื่องการแปล  มันชอบพูดว่า  ถึงจะภาษาไหนก็ถ่าย
ความงามไปไม่ได้หรอก  เราว่าแล้วจะให้ทำไง มันก็ต้องแปล  และขั้นแรกก็คงไม่ถึงขั้น
แต่มันก็จะมีขั้นเหนือกว่าตามมาอีก  ก็เอาล่ะ  มันฝรั่งเศส  หยิ่งในภาษาตนว่าเพราะ
โธ่..กะไอ้ลีลาหวาน ๆ เสียงนุ่ม ๆ น่ะ  เอาเข้าจริงภาษาอังกฤษมีอะไรที่ทั้งหวาน
ทั้งหนัก เข้ม ได้หมด   ใครนะว่าภาษาฝรั่งเศสเพราะที่สุด  แต่ทำไมญี่ปุ่น  กุ ๆ กิ ๆ
แต่ฟังดี ๆ สิ  เสียงออกจากลำคอของเขาก็มีทุกรส  ของเราก็มีดีอย่างของเรา
การตกเสียง  น้ำหนักเสียง  ลองฟังคนมีอารมณ์พูดสิ  การตกคำ  จังหวะ...
ไม่มีใครคิดทำเรื่องรสคำ  มันต้องพูดให้ได้อารมณ์ความ  ได้รสเสียง....."

นึกเห็นท่าทางและรสเสียง รสคำ ของพี่เวลาเล่า ไม่ต่างจากดูละครเวทีเลย

"..ไปหาชีวิตและผลงานของกุสตาฟ โฟลแบร์ต มาอ่านซะ  แล้วจะเห็นเองว่า โฟลแบร์ต
ยิ่งใหญ่ขนาดไหน  ที่สุดเท่าที่มีย่อยมาให้อ่านกันแหละ   โอ๊ย..เขาเกิดมาเขียน
ลองดูวิธีทำงานของเขาสิ  มันเป็นงานของชีวิตทีเดียว  ทัศนะเขา  โอย..สารพัด
แล้วเธอก็จะเห็นว่า  ศิลปินแท้นั้นเป็นอย่างไร...."

"..ไม่มีเรื่องดีหรือเลวในโลกนี้  มีแต่เรื่องที่เขียนดีหรือไม่ดีเท่านั้น  โฟลแบร์ตว่า..."
"..เขียนดีไม่ดีก็ช่าง  ขอให้สนุกกับมัน"
"..หรือว่าเราแต่ละคน - ในประเทศนี้  ต่างก็ทำอะไรได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ อย่างนี้แหละ..."

เอ๊ะ ! นี่ว่าเราด้วยนี่หว่า..

"..เฮ้อ..เธอยังมีปีเหลืออีกมาก  หากบ่มดี ๆ ก็จะสุกก่อนงอมได้
ยังมีเวลาเรียนแดดร้อนลมแรงหรอก  แล้วอย่าหล่นเสียก่อนล่ะ..."

น้องหัวเราะกับตัวเอง ด้วยประโยคที่พี่บอกว่า  เธอยังมีปีเหลืออีกมาก..
น้องรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่บนขอบบ่อของกาลเวลา
แล้วชะโงกหน้าลงไปสำรวจ  ค้นหาสาระจากวันเวลาที่ล่วงผ่าน
น่าตกใจอยู่บ้าง  ที่น้องมองไม่เห็นอะไรเลย..

"ขณะที่อะไร ๆ ตกต่ำ.. เธอจะได้เห็นความโลเล ไม่มั่นคง เสียหลัก
ตกจากเส้นทางที่เคยเดิน  งานเขียนจะไม่เป็นงานที่มีเสน่ห์น่าพิสมัยอีกต่อไป
นักเขียนมาถึงทางแยกแล้วไง
พวกนักวิจารณ์ก็ร้องเพลงไม่ออก  ทุกส่วนในสังคมมันทรุดเสื่อม
วงการหนังสือหรือจะยืนหยัดอยู่ได้
แต่สภาพอย่างนี้แหละที่ท้าทาย...
ยิ่งสังคมทรุด  นักเขียนก็น่าจะต้องยิ่งตื่น
เสกสร้างความหวัง กำลังใจให้ผู้คน...."

"แหมโว้ย  เวลามันช่างมีน้อยเหลือเกินนะ  ไม่พอให้เราใช้เล้ย..
เธอเองก็ระวังนะ  ไม่มีเวลาเขียนอ่าน  อย่าเผลอนา
เวลาเราพูดอย่างงี้เนี่ย  เราก็เตือนตัวเองด้วยแล
สัปดาห์จะผ่านไป  เดือนจะผ่านไป  ปีก็เร็วเหลือเกิน..."

ใช่ค่ะ  ปีก็เร็วเหลือเกิน
เร็วจนอยากรู้ว่าเราแต่ละคนเติมอะไรลงไปในช่องว่างแห่งกาลเวลาของตัวเองกันบ้าง

ส่วนหญิงยิปซีฝูงนั้น ต่างก็มีวิถีชีวิตแยกกันไปคนละทิศละทาง
บางคนก็ไปอยู่ต่างแดน  บางคนก็เบื่อโลก ชิงจากไปก่อนวัยอันควร
และบางคนก็เชื่อคำของผู้หวังดีที่บอกว่า ให้หาผัวให้ได้เสียก่อนจะมาคิดทำอะไรกัน
เป็นคำแนะนำที่ทุกคนพากันขำกลิ้งในครั้งแรก  แต่ที่สุดก็ยอมรับว่าเป็นความจริง


พี่ล่ะคะ..
วันนี้ของพี่ยังเป็นวันของยอดมนุษย์อยู่ไหม

พี่ยังเขียนจดหมายถึงใครบางคนทุกวันหรือเปล่า
แล้วพี่ยังมีแรงขี่จักรยานไปดูดอกไม้กวาดอยู่ไหม
"ดอกไม้กวาดที่รับแดดแข่งกับดอกหญ้าและอากาศหนาว
สีเขียว ๆ ของต้นไม้เริ่มอมทอง  ไม่นานใบไม้จะสีสุก  แล้วก็หล่นโปรย..."

พี่ยังแอบเขย่าต้นเพกาแรง ๆ ให้ฝักมันแตก
เพื่อจะโปรยฝูงเมล็ดฟูฟ่องล่องลมลงมาให้ดูอีกหรือเปล่า

ดอกหิรัญญิการ์ที่บ้านพี่ยังเป็นสีชมพูอยู่ไหม
ในขณะที่บ้านคนอื่นเขาเป็นสีขาวกันหมด

หน้าหนาวของทุกปี  แขกของพี่คงยังเต็มบ้านอยู่กระมัง
แล้วพี่ยังต้องตามเก็บถ้วยชามอยู่อีกหรือเปล่า
ยังมีใครเอากะปิดี เอากุ้งแห้งตัวโต ๆ มาฝากพี่อีกไหม
แต่มันไม่เหมาะจะเป็นของกินเล่นของผู้สูงวัยหรอกนะคะ เพราะมันเค็ม
ความดันสูงจะเรียกหา

"ได้ไปเห็นงานที่คนอื่นเขาเขียนกันแล้วอิ่ม..ไม่อยากดูอีก  อยากทำของตัวเองบ้าง"
กำลังใจของพี่ช่างมีล้นเหลือเฟือฟาย เหมือนพวกยอดมนุษย์
และพี่ก็อยากดันให้คนอื่นเป็นยอดมนุษย์เหมือนพี่ด้วย
แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้...


อ่านจดหมายของพี่แล้วก็รู้ว่า
เวลามันผ่านไปนานแล้วจริง ๆ...











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น