"พี่ยังเขียนหนังสืออยู่หรือเปล่าครับ ? "
ฉันชะงัก ไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามแบบนี้ ในเวลาและสถานที่เช่นนี้
"....................."
ตอบไม่ทันและไม่ทันตอบ สีหน้า แววตาของฉัน คงบ่งบอกถึงความไม่คาดคิดและงุนงง
ชายหนุ่มระบายยิ้มไปทั้งหน้า ฉันอึก ๆ อัก ๆ หน้าจะแดงด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้
ถามเขาตะกุกตะกักไปว่า
"รู้...รู้ได้ไง ว่าพี่เขียนหนังสือ"
"ผมอ่านเจอ"
เออสิ ก็เขาขายหนังสือนี่นา ฉันบอกตัวเอง ยามว่างไม่มีอะไรทำ ก็คงอ่านหนังสือจนหมดแผง
เมื่อไม่นานมานี้ มีนิตยสารผู้หญิงฉบับหนึ่งมาสัมภาษณ์ฉัน ในฐานะคนเขียนเรื่องสั้น
ถ่ายรูปลงไปเสียครึ่งหน้า
เขาคงจะอ่านเจอจากเล่มนี้แหละ
"ไม่คิดว่าคุณจะสนใจ" ฉันเปรยแบบถ่อมตัวนิด ๆ
"ผมรู้นามปากกาพี่ด้วยนะ"
เอาล่ะสิ นึกย้อนไปแบบเข้าข้างตัวเอง มิน่าล่ะ ทุกครั้งที่ฉันจอดรถซื้อหนังสือพิมพ์จากแผงของเขา ซึ่งเป็นแผงที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด เด็กหนุ่มจะกุลีกุจอหยิบให้ และมักชวนพูดคุยแบบคนมีอัธยาศัย
บางครั้งยังอาสาไปเอาหนังสือบางเล่มที่ฉันเอ่ยถาม แต่เขาไม่ได้เอามาขาย จากร้านใหญ่ในเมืองมาให้ด้วย
หน้าตาคมเข้มหล่อเหลาของเขา มีส่วนละม้าย ศุ บุญเลี้ยง เพียงแต่ตัวเล็กกว่า
วันนั้นฉันซื้อหนังสือพิมพ์ด้วยความรู้สึกแปลก ๆ เหมือนเด็กเล่นซ่อนหา แล้วถูกจับได้ว่าแอบอยู่ตรงไหน เหมือนเสียอิสรภาพไปนิด ๆ เป็นอิสรภาพที่จะอยู่อย่างผู้สังเกตการณ์ ที่ไม่มีใครรู้จัก
เป็นความพึงพอใจส่วนตัว
เด็กหนุ่มชอบวาดรูป บางวันฉันเห็นเขานั่งระบายสีภาพบนขาหยั่ง หลังแผงหนังสือ เมื่อชะโงกดู เขาทำท่าเขิน พลางพูดถ่อมตัวว่า
"วาดไปอย่างนั้นแหละครับ ชอบ"
บางภาพที่วาดเสร็จแล้ว ใส่กรอบห้อยติดฝาบ้านด้านใน ติดราคาขายไว้ด้วย เกือบทั้งหมดเป็นภาพวิว ทิวทัศน์ในชนบท ประเภทกองฟาง ต้นมะพร้าว ทุ่งนา
ฉันเคยเอากระดาษทำมือที่มีอยู่ไปให้เขาทดลองใช้หลายแผ่น เขาตอบแทนกลับมาด้วยภาพวาดดอกไม้สีม่วง ทำท่าถ่อมเนื้อถ่อมตัวตามเคย
เมื่อเปลี่ยนสภาพเป็น "คนเขียนหนังสือที่ถูกจับได้" ฉันก็ดูเหมือนจะระวังตัวขึ้นนิดหนึ่งเมื่อแวะซื้อหนังสือพิมพ์ เขายังคงถามไถ่เรื่องงานเขียน แล้ววันหนึ่งก็บอกความในใจว่าอยากให้ฉันเขียนเรื่องราวของลูกชายเขา ที่กำลังป่วยด้วยโรคชนิดหนึ่งอยู่ พลางเล่าเรื่องราวชีวิตครอบครัว ด้วยหมายว่าฉันจะเป็นนักเขียนที่สามารถบันทึกเรื่องราวของเขาออกมาเป็นนวนิยายได้
หวังมากไปนะพ่อหนุ่ม
ฉันรับฟังเรื่องราวคร่าว ๆ ของเขาอย่างเห็นใจ แต่ไม่ได้รับปากว่าจะเอาไปเขียน แม้จะรู้สึกติดค้างบ้างเล็กน้อย ที่เขาให้ค่าคนเขียนหนังสืออย่างฉันมากไปนิด
แต่หลังจากนั้นไม่นานนักแผงหนังสือของเขาก็ปิดตัวลง ร้านค้าที่อยู่ติดกันเห็นเป็นโอกาส จึงเข้าสวมรอยกิจการต่อทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่ฉันเลิกซื้อหนังสือพิมพ์อ่าน รู้จากคนแถวนั้นว่าชายหนุ่มไปทำงานรับเหมาก่อสร้าง
ฝีมือทางศิลปะของเขา ย้ายฐานจากผืนผ้าใบ ไปสู่ตึกรามบ้านช่องที่เขามีส่วนก่อสร้าง งานหนัก ๆ อย่างนั้น คงทำให้เขาไม่มีเวลาที่จะอ่านหนังสือมากเหมือนตอนที่ขายหนังสืออีกแล้ว
การที่เราไม่ได้พบกันอีกเลย ทำให้คนเขียนหนังสือที่ถูกจับได้อย่างฉัน รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนได้รับอิสรภาพกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น