วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

คนเขียนหนังสือที่ถูกจับได้








"พี่ยังเขียนหนังสืออยู่หรือเปล่าครับ ? "

ฉันชะงัก  ไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามแบบนี้  ในเวลาและสถานที่เช่นนี้

"....................."

ตอบไม่ทันและไม่ทันตอบ  สีหน้า แววตาของฉัน คงบ่งบอกถึงความไม่คาดคิดและงุนงง
ชายหนุ่มระบายยิ้มไปทั้งหน้า   ฉันอึก ๆ อัก ๆ  หน้าจะแดงด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้
ถามเขาตะกุกตะกักไปว่า

"รู้...รู้ได้ไง  ว่าพี่เขียนหนังสือ"
"ผมอ่านเจอ"

เออสิ  ก็เขาขายหนังสือนี่นา  ฉันบอกตัวเอง  ยามว่างไม่มีอะไรทำ  ก็คงอ่านหนังสือจนหมดแผง
เมื่อไม่นานมานี้ มีนิตยสารผู้หญิงฉบับหนึ่งมาสัมภาษณ์ฉัน ในฐานะคนเขียนเรื่องสั้น
ถ่ายรูปลงไปเสียครึ่งหน้า
เขาคงจะอ่านเจอจากเล่มนี้แหละ

"ไม่คิดว่าคุณจะสนใจ"   ฉันเปรยแบบถ่อมตัวนิด ๆ

"ผมรู้นามปากกาพี่ด้วยนะ"

เอาล่ะสิ   นึกย้อนไปแบบเข้าข้างตัวเอง  มิน่าล่ะ ทุกครั้งที่ฉันจอดรถซื้อหนังสือพิมพ์จากแผงของเขา  ซึ่งเป็นแผงที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด  เด็กหนุ่มจะกุลีกุจอหยิบให้  และมักชวนพูดคุยแบบคนมีอัธยาศัย
บางครั้งยังอาสาไปเอาหนังสือบางเล่มที่ฉันเอ่ยถาม  แต่เขาไม่ได้เอามาขาย  จากร้านใหญ่ในเมืองมาให้ด้วย

หน้าตาคมเข้มหล่อเหลาของเขา มีส่วนละม้าย ศุ บุญเลี้ยง  เพียงแต่ตัวเล็กกว่า

วันนั้นฉันซื้อหนังสือพิมพ์ด้วยความรู้สึกแปลก ๆ  เหมือนเด็กเล่นซ่อนหา แล้วถูกจับได้ว่าแอบอยู่ตรงไหน  เหมือนเสียอิสรภาพไปนิด ๆ  เป็นอิสรภาพที่จะอยู่อย่างผู้สังเกตการณ์ ที่ไม่มีใครรู้จัก
เป็นความพึงพอใจส่วนตัว

เด็กหนุ่มชอบวาดรูป  บางวันฉันเห็นเขานั่งระบายสีภาพบนขาหยั่ง  หลังแผงหนังสือ เมื่อชะโงกดู เขาทำท่าเขิน พลางพูดถ่อมตัวว่า

"วาดไปอย่างนั้นแหละครับ  ชอบ"

บางภาพที่วาดเสร็จแล้ว  ใส่กรอบห้อยติดฝาบ้านด้านใน  ติดราคาขายไว้ด้วย  เกือบทั้งหมดเป็นภาพวิว ทิวทัศน์ในชนบท  ประเภทกองฟาง  ต้นมะพร้าว  ทุ่งนา

ฉันเคยเอากระดาษทำมือที่มีอยู่ไปให้เขาทดลองใช้หลายแผ่น  เขาตอบแทนกลับมาด้วยภาพวาดดอกไม้สีม่วง  ทำท่าถ่อมเนื้อถ่อมตัวตามเคย

เมื่อเปลี่ยนสภาพเป็น "คนเขียนหนังสือที่ถูกจับได้"  ฉันก็ดูเหมือนจะระวังตัวขึ้นนิดหนึ่งเมื่อแวะซื้อหนังสือพิมพ์  เขายังคงถามไถ่เรื่องงานเขียน   แล้ววันหนึ่งก็บอกความในใจว่าอยากให้ฉันเขียนเรื่องราวของลูกชายเขา ที่กำลังป่วยด้วยโรคชนิดหนึ่งอยู่   พลางเล่าเรื่องราวชีวิตครอบครัว ด้วยหมายว่าฉันจะเป็นนักเขียนที่สามารถบันทึกเรื่องราวของเขาออกมาเป็นนวนิยายได้

หวังมากไปนะพ่อหนุ่ม

ฉันรับฟังเรื่องราวคร่าว ๆ ของเขาอย่างเห็นใจ  แต่ไม่ได้รับปากว่าจะเอาไปเขียน แม้จะรู้สึกติดค้างบ้างเล็กน้อย ที่เขาให้ค่าคนเขียนหนังสืออย่างฉันมากไปนิด

แต่หลังจากนั้นไม่นานนักแผงหนังสือของเขาก็ปิดตัวลง   ร้านค้าที่อยู่ติดกันเห็นเป็นโอกาส จึงเข้าสวมรอยกิจการต่อทันที  เป็นจังหวะเดียวกับที่ฉันเลิกซื้อหนังสือพิมพ์อ่าน   รู้จากคนแถวนั้นว่าชายหนุ่มไปทำงานรับเหมาก่อสร้าง

ฝีมือทางศิลปะของเขา  ย้ายฐานจากผืนผ้าใบ ไปสู่ตึกรามบ้านช่องที่เขามีส่วนก่อสร้าง   งานหนัก ๆ อย่างนั้น คงทำให้เขาไม่มีเวลาที่จะอ่านหนังสือมากเหมือนตอนที่ขายหนังสืออีกแล้ว


การที่เราไม่ได้พบกันอีกเลย  ทำให้คนเขียนหนังสือที่ถูกจับได้อย่างฉัน  รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย  เหมือนได้รับอิสรภาพกลับมาอีกครั้งหนึ่ง





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น