วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

เมี่ยงคำ







เมี่ยงคำเป็นอาหารวิจิตรอย่างหนึ่ง  ที่ไม่รู้ว่ามีกำเนิดมาจากไหน  
จะเรียกว่าเมี่ยงคำของเราได้หรือเปล่าก็ไม่รู้

เหมือนพืชผักหลายชนิดที่เคยเข้าใจว่าเป็นของไทยแท้ แต่แล้วก็กลับไม่ใช่
เช่นมะละกอ  เพราะไปนึกเชื่อมโยงกับส้มตำ อาหารไทยที่โ่ด่งดังไปทั่ว

นาน ๆ หรอกฉันจึงจะนึกอยากกินเมี่ยงคำ  
ค่าที่เครื่องเคราดูวุ่นวายหลายอย่าง ทั้งเครื่องสด เครื่องแห้ง
ทำให้ไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำกินเองสักเท่าไร

คิดถึงเมี่ยงคำขึ้นมาเมื่อใด ก็มักจะคิดถึงเรื่องสั้นชื่อ "เมี่ยงคำ" 
ของ "มน.เมธี"  นักเขียนในดวงใจคนหนึ่งขึ้นมาทุกครั้ง

แต่เมี่ยงคำที่กำลังจะพูดถึงเจ้านี้ ไม่มีอะไรเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องกับยาย
ในเรื่องของ มน.เมธี หรอก
เพราะคุณยายคนนี้ของฉัน เป็นคนผิวขาว หน้าตาหมดจด สะอาดสะอ้าน
เข้ากับป้ายที่เขียนวางไว้ในกระจาดของยายว่า  "เมี่ยงคำยายเนื่อง  ตำรับชาววัง"

คุณยายเนื่อง ขายเมี่ยงคำแพงกว่าเจ้าอื่น - นี่เป็นความรู้สึกครั้งแรกของฉัน
ที่ทำให้ตัดสินใจไม่ซื้อในครั้งนั้น
ต่อมา เมื่ออยากกินมาก ๆ เข้า่จึงลองซื้อ  และรู้ว่าคุณยายพิถีพิถันกับเครื่องปรุงทุกอย่าง
และทำได้อร่อย สมราคา

เมี่ยงคำจะอร่อย  นอกจากส่วนประกอบทั้งหลายจะต้องใหม่และสดแล้ว
ส่วนสำคัญที่สุดน่าจะเป็นน้ำกะปิ
น้ำกะปิของคุณยายเนื่อง ข้นจนน้ำตาลขึ้นเกล็ด 
เอามาอุ่นในไมโครเวฟสักเสี้ยวนาที  เกล็ดน้ำตาลจะละลายจนอร่อยพอดี

เป็นกลยุทธการขายของคุณยายหรือเปล่าไม่รู้ 
ที่ไปนั่งหั่นนั่งซอยเครื่องประกอบต่าง ๆ ให้ลูกค้าเห็น
เพื่อจะได้รู้สึกว่ากว่าจะได้กิน  มันช่างละเอียดลอออะไรปานนี้

ถ้าเป็นเจ้าอื่น ร้อยทั้งร้อยก็จะทำจนเสร็จ
บรรจุถุง ถุงเล็กถุงน้อย  อาจจัดวางบนจานโฟม
ใส่ถุงพลาสติก  มัดหนังยาง แล้วก็วางขาย

แต่คุณยายเนื่่องยังคงก้มหน้าก้มตาซอยหอม ซอยขิง หั่นมะนาว
สาละวนอยู่กับงาน จนแทบไม่เคยเห็นยายมองหน้าใคร
แม้แต่เมื่อเจรจากับลูกค้า ยายก็ยังคงก้มหน้าทำงานของยายอยู่

ตั้งแต่เป็นลูกค้าของยาย  ฉันก็ไม่เคยซื้อเมี่ยงคำเจ้าอื่นอีกเลย

วันหนึ่ง ฉันนึกอยากกินเมี่ยงคำจึงไปตลาด
เห็นคุณยายเนื่องนั่งอยู่ที่ประจำในท่าเดิม
ขะมักเขม้นก้มหน้าก้มตา ซอยนั่นหั่นนี่เหมือนเคย

ในกระจาดของยาย มีเมี่ยงคำที่ทำสำเร็จแล้วเพียงชุดเดียว
นอกนั้นเป็นถุงมะพร้าวคั่ว ที่ยายเอาถั่วลิสงโรยทับไว้ด้านบน
มีถุงถั่วลิสงคั่วล้วน ๆ  และน้ำกะปิถุงค่อนข้างใหญ่อยู่ 1 ถุง

ฉันยืนสำรวจอยู่หน้ากระจาด
ยายเงยหน้าขึ้นนิดหนึ่ง แล้วก็ก้มลงทำงานต่อ
พลางบอกโดยที่ฉันยังไม่ได้พูดอะไรว่า
"ชุดนี้มีคนจองแล้วค่ะ"

"............"

"เอาไปทำเองมั้ยคะ"  ยายเสนอ

ความหมายก็คือให้ฉันซื้อมะพร้าวคั่ว ถั่วลิสงคั่ว และน้ำกะปิ
ที่ยายแยกใส่เป็นถุง ๆ ไว้  แล้วไปหาพวกเครื่องเคราของสดเอาเอง

"ไม่เป็นไร... รอได้ค่ะคุณยาย"  ฉันยืนกราน  เพราะตัวขี้เกียจมีอำนาจเหนือ
คิดว่าจะยืนรอให้ยายจัดให้เพียง 1 ชุด คงไม่นานสักเท่าไร

"ไม่มีแล้วล่ะค่ะ  ที่เขาสั่งไว้ยายก็ยังทำให้เขาไม่ทันเลย"  ยายย้ำ

ฉันลังเล..  ตัวขี้เกียจกับตัวอยากกำลังถกเถียงกันอยู่ข้างใน

ในที่สุดตัวอยากก็ชนะ   คราวนี้คุณยายมีข้อเสนอใหม่มาอีก

"เอาไปหมดเลยมั้ยคะ  น้ำกะปิเหลือถุงเดียว  50  บาท
มะพร้าวคั่วกับถั่วเหลือ 5 ถุง  ยายให้หมดเลย  คิดคุณแค่ 90  บาท"

"โอย..กินไม่หมดหรอกค่ะคุณยาย  เยอะแยะขนาดนี้  เอาถุงเดียวก็พอค่ะ"

"เอาไปเถอะค่ะ  ใส่ตู้เย็นไว้ไม่เสียนี่คะ  หมดนี่ก็ไม่มีอีกแล้ว
ยายจะไม่ได้มาขายอีกหลายวันนะคะ"

"อ้าว !  ยายจะไปไหนล่ะคะ"
"ไปหาหมอ  หมอนัดค่ะ"
"เป็นอะไรเหรอคะยาย"
"ก็เจ็บแข้งเจ็บขานี่แหละค่ะ"

"ตกลงค่ะ  เหมาหมดก็ได้"  ฉันตัดสินใจฉับพลัน  
เพราะสงสารยาย  หรือเพราะตะกละ กลัวตัวเองจะอดกินก็ไม่รู้
ฉันหยิบถุงถั่วลิสงคั่วล้วน ๆ ที่ยังเหลืออยู่เพียงอย่างเดียวในกระจาด
ใส่รวมไปอีก 1 ถุง  บอกยายว่า
"เป็น 100 พอดีนะคะยาย "   ยายพยักหน้ายิ้มให้นิดหนึ่ง
ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ

คงหายอยากไปอีกนานแหละแก - ฉันพูดกับตัวเอง

ฉันไม่เห็นคุณยายเนื่องอีกเลย
ตรงที่ที่ยายเคยนั่ง มีแม่ค้าคนอื่นเข้ามานั่งขายแทน
บางวันฉันเดินเกร่เข้าไปถามแม่ค้าข้าง ๆ
ไม่มีใครได้ข่าว  และไม่มีใครสนใจ...

ฉันกินมะพร้าวคั่วหมดไปแล้ว 
เหลือน้ำกะปิที่เทใส่ขวดใบย่อม ๆ และแช่ตู้เย็นไว้ อีกนิดหน่อย
กะว่าถ้ายายมา จะบอกยายว่า  น้ำกะปิของยายน่ะ
แม้จะแช่เย็นไว้จนป่านนี้  รสชาติก็ยังอร่อยเหมือนเดิม


แต่นี่มันก็ตั้ง  6 - 7 เดือนเข้าไปแล้วนี่นะ
ทำไมยายยังไม่กลับมา....






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น