ฉันเคยถามตัวเอง
ว่าแรงจูงใจอันใดหรือ ที่ผลักดันให้ฉันเคยคิดอยากเป็นคนเขียนหนังสือ
คำตอบในบางเรื่องหรือหลาย ๆ เรื่อง มักไม่ชัดเจน
ในความคลุมเครือ มีสิ่งตกค้างอยู่ในความทรงจำ 2-3 เรื่อง
จะเรียกมันว่าหมุดหมายหรืออะไรดี ฉันยังนึกไม่ออก
เพียงแต่รู้สึกว่ามันเหมือนตัวต่อ หรือจิ๊กซอว์ที่เคยเล่นเมื่อเป็นเด็ก
ตอนที่ฉันอายุราว 8 ขวบ เรียนอยู่ชั้นประถม 3
วันหนึ่ง ครูสอนเรียงความเรียกฉันไปพบ (เมื่อก่อนเราไม่เคยเรียกครูว่า อาจารย์)
ฉันยังจำชื่อและหน้าตาท่าทางของคุณครูคนนี้ได้จนบัดนี้
คุณครูประจิต รูปร่างผอมสูง หุ่นเหมือนนางแบบ
ครูชอบใส่กระโปรงเข้ารูป และใส่รองเท้าส้นสูง ที่สูงมากกว่าครูคนอื่น ๆ
ครูประจิตเรียกฉันไปพบ เพื่อจะบอกว่าฉันเขียนเรียงความได้ดี ถูกใจครูที่สุด
ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉันออกจะงุนงง ทั้งในขณะนั้น และยังสืบเนื่องมาจนขณะนี้
เนื่องจากมันเป็นการเขียนเรียงความตามคำบอกของครู
ฉันยังจำประโยคขึ้นต้นของเรียงความเรื่อง "กวางน้อย" ในครั้งนั้นได้อยู่เลยว่า
"กวางน้อยตัวหนึ่ง และเล็มหญ้าอยู่ตามป่าละเมาะ..."
คุณครูจะอ่านเรื่องราวของกวางน้อยตัวนั้นให้นักเรียนฟัง 2 หรือ 3 เที่ยว
แล้วให้นักเรียนเขียนสิ่งที่ได้ฟังจากครูลงในสมุด
ซึ่งมันมาเกี่ยวกับการ "เขียนดี" ได้อย่างไร ฉันยังคงสงสัย
เพราะมันก็แค่การลอกเลียนแบบ ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเลย
หรือว่าฉันลอกเลียนครูได้เหมือนมากที่สุด...
รู้แต่ว่าหลังจากนั้น เมื่อมีการงานใด ๆ ของโรงเรียนที่ต้องการ "คนเขียน"
ฉันมักถูกเรียกใช้
โดยเฉพาะการจัดบอร์ดในวาระวันสำคัญต่าง ๆ ที่ต้องมีโคลงฉันท์กาพย์กลอน
นอกจากนั้นคุณครูยังชอบเรียกให้ฉันออกไปอ่านเรียงความเรื่องอื่น ๆ
ให้เพื่อนฟังหน้าห้องอยู่บ่อย ๆ
ตัวต่อหรือจิ๊กซอว์ตัวที่สอง น่าจะเป็นเรื่องที่ฉันไม่ค่อยมีปัญหากับการเรียนวิชาภาษาไทย
ที่มักเป็นยาขมของเพื่อน ๆ ส่วนใหญ่
แม้จะไม่ถึงกับชอบหรือเป็นวิชาโปรด หรือได้คะแนนสูงสุด
แต่ก็เรียนอย่างสบาย ๆ ไม่เคยกังวล ไม่เคยเบื่อครู (ที่มักแก่)
และไม่เคยรู้สึกเป็นทุกข์ ว่าต้องจดจำอะไรมากมายเป็นพิเศษ
เหมือนที่เพื่อน ๆ มักโอดครวญกัน
แต่ชีวิตก็เล่นตลกกับฉันอีกครั้ง
เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ทางบ้านคิดว่าฉันเรียนเก่ง จึงอยากให้เรียนหมอ
(แค่คิด ก็ยังรู้สึกกระดากใจ อายตัวเอง)
แม้จะชอบด้านภาษา แต่จำต้องเลือกเรียนสายวิทย์ ตามค่านิยมที่เคยคิดว่าโบราณ
แต่ก็ยังมีมาจนถึงทุกวันนี้ว่า สายวิทย์มีไว้ให้พวกเด็กเก่งเท่านั้นเรียน
ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าในตอนนั้น ฉันก็คิดว่าตัวเองเก่งเหมือนกับที่ทางบ้านคิด
เป็นมายาซ้อนมายา ที่ไม่รู้ใครหลอกใครก่อนด้วยหรือเปล่า
จึงทำไมไม่คัดค้าน หรือยืนยันตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
นั่นซีนะ ภาพตอนนี้มันคลุมเครือและมัวหม่นพิกล
ที่สุด ฉันก็เข้าเรียนในคณะอื่นที่ไม่ใช่หมอ
ชีวิตจากนั้นจึงห่างไกลจากวิชาภาษาไทยและการเขียนเรียงความออกไปทุกที
ซึ่งจริง ๆ การเขียนหนังสือ ก็ไม่จำเป็นต้องผูกติดอยู่กับเฉพาะวิชาภาษาไทย
หรือการเขียนเรียงความใด ๆ เลยด้วยซ้ำ หากคิดจะเขียน
อาจเป็นเพราะฉันไม่รู้จะเอาอะไรมาอ้างกระมัง
ในขณะที่ฉันกำลังมุ่งหน้าไปสู่อาณาจักรของตัวเลขในคณะที่สอบติด
ตัวต่อหรือจิ๊กซอว์ตัวที่ 3 ก็ปรากฏขึ้น เหมือนเป็นบททดสอบเล็ก ๆ
ห่างจากจิ๊กซอว์ตัวแรกราว 10 ปี
ฉันเป็นนักศึกษาปี 1
จู่ ๆ วันหนึ่งก็มีรุ่นพี่ปี 4 ซึ่งเป็นนักกลอนจากต่างคณะ
เขียนจดหมายน้อยเสียบไว้ที่บอร์ดของคณะ - ว่าต้องการพบฉัน-
คนเขียนกลอนบทที่แปะติดบอร์ดอยู่ตอนนั้น อยากคุยด้วย เพราะเขียนกลอนได้ถูกใจพี่นัก
กลอนที่ฉันเขียนเล่น ๆ ใช้นามปากกา และนึกสนุกเอาไปแปะไว้เล่น ๆ
บนบอร์ดวรรณศิลป์ของคณะ ทำให้ฉันงง ๆ และอดคิดถึงครูประจิตของฉันขึ้นมาอีกไม่ได้
ชีวิตหลังจากนั้นของฉันจึงคล้าย ๆ การไล่ล่าชิ้นส่วนที่เหลือของตัวต่อ
เพื่อมาเติมเต็มความฝัน
ที่เหมือนมีคนมาแกล้งปักหมุดไว้ให้หัวหมุนเล่น
บางขณะที่รู้สึกว่าใช่ คิดว่าได้ แต่คิดอีกทีก็เหมือนกบน้อยในกะลา
และบางขณะที่ท้อถอย รู้สึกเกินกำลัง หรือไม่ใช่หนทางที่ควรจะไป
จวน ๆ จะหันหลัง ก็มักมีมือที่มองไม่เห็น ผลักให้จำต้องเดินต่อไป
ฉันไม่เคยกลัวความเปลี่ยวเหงาของหมาป่า ในทุ่งหญ้าแห่งการเดินทางไกล
เพราะคุ้นเคยกับความโดดเดี่ยวเดียวดาย และคิดว่ารับมือกับมันไหว
แต่สิ่งที่อึดอัดมากกว่า ก็คือการหลงวนอยู่ในป่าตัวอักษร
ฉันอาจใจไม่ถึง และไม่ชอบอยู่ในเกมที่ควบคุมตัวแปรไม่ได้
จึงเพียงแต่นั่งพักอยู่ขอบสนาม หรือเชิงเขา ชายทะเล ที่บางคนค่อนขอดว่ามาตากอากาศ
ด้วยประเมินไม่ถูกว่า หากก้าวลงไปในผืนน้ำ นั่นจะเป็นพื้นทรายนุ่มเท้า หรือโคลนดูด
ประเมินไม่ได้ว่า เขียว ๆ ที่เห็นข้างหน้าคือป่ามรณะหรือไพรพิสดาร
ครั้งหนึ่งเมื่อยังเยาว์ ฉันเคยต่อภาพเด็กหญิงกับแม่ในสวนดอกไม้หลากสีได้สำเร็จ
ไม่แน่ใจว่าเป็นภาพก็อปปี้มาจากงานของเรอนัวร์ หรือ โมเนท์
ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ปลื้มปิติ ที่ไม่รู้ว่าเกิดจากความงดงามของภาพ
หรือเกิดจากความสำเร็จที่มาจากความเพียรพยายามอันยาวนาน
ภาพนั้นใส่กรอบแขวนไว้ข้างผนังบ้านอยู่นานปี กระทั่งหายไปในช่วงที่ย้ายบ้านบ่อย ๆ
และฉันก็เลิกสนใจมันไปแล้ว
ถึงแม้ภาพจริงจะหายไป แต่ก็เป็นไปได้ที่มนุษย์เรามักจะสร้างภาพใหม่ขึ้นอีกเรื่อย ๆ ไม่รู้จบ
ความสำเร็จในวัยเด็ก บางครั้งก็เหมือนภาพลวงตาที่ทำให้เราฝังใจ
โดยไม่รู้ว่าอาจเป็นเพียงเงา หรือการเล่นตลกจากใครบางคน
แกล้งให้เราหลงรอคอยอะไรบางอย่างที่ไม่เคยมีอยู่จริง
หลอกล่อเราด้วยขนมหวานเล็ก ๆ น้อย ๆ เวลาที่เราเบื่อ
จนทำให้เราต้องหวนกลับมาอยู่ในเกม
และเฝ้ารอคอยความฝันสีลูกกวาด ที่เรียกรวม ๆ ว่าความสุขสมหวัง หรือความสำเร็จ
ที่คิดว่าอยู่ข้างหน้านั้นต่อไป
รวมทั้งสร้างแรงจูงใจที่จะต้องก้าวไปไขว่คว้ามันมาให้ได้
ซึ่งบางคนอาจคิดว่าสมหวัง แต่บางคน..อาจต้องรอกันทั้งชีวิต
เช่นเดียวกับตัวต่อแห่งชีวิตของฉัน
ที่ในวันนี้ฉันรู้ดีว่า ความหวังนั้นเป็นเพียงสายลมเย็นชั่ววูบ ในบ่ายอันร้อนระอุ
ชีวิตไม่ได้ง่ายและสำเร็จรูปเหมือนสิ่งของ
และไม่ได้มีชิ้นส่วน หรือแง่มุมที่ลงตัวเหมือนจิ๊กซอว์ที่เคยเล่น
ดูเหมือนฉันจะรู้ทันใครคนนั้นขึ้นมาบ้างแล้ว
และบางทีการที่ฉันคิดว่าจะเติมตัวต่อให้เต็มผืน
อาจเป็นความคิดที่ผิดมาตั้งแต่ต้นแล้วก็ได้
วันนี้ ที่พระอาทิตย์กำลังเดินทางกลับบ้าน
ฉันคิดถึงคุณครูประจิตและเรียงความชั้น ป.3
บอกกับตัวเองว่า ถึงทุกวันนี้ฉันก็ยังเป็นเพียง "กวางน้อยตัวหนึ่ง"
ที่ยังคงและเล็มหญ้าอยู่ตามป่าละเมาะ...
ส่วนความสุขสมหวังสีลูกกวาด ที่เคยหลงรอคอย..
ก็อยู่กับฉันมาตั้งแต่ 8 ขวบแล้ว...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น