วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556

อุบัติเหตุ






ตั้งแต่ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย 
ฉันตั้งใจอยากเป็นสมาชิกชมรมวรรณศิลป์ให้ได้

ชมรมวรรณศิลป์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในครั้งกระโน้น ต่างก็มีบทบาทและมีชื่อเสียงกันพอสมควร
โดยเฉพาะการออกจุลสารวรรณศิลป์ "เล่มละบาท"

รวมทั้งอิทธิพลของการเขียนกลอน  ซึ่งก็เป็นกลอนโรแมนติกเสียเป็นส่วนใหญ่
เด็กบ้านนอก ม.ปลายอย่างฉัน เคยติดรายการวิทยุที่ว่าด้วยกลอนรัก ๆ ใคร่ ๆ จนงอมแงม
ยุคนั้นมีหนังสือ "ศาลาคนเศร้า" ออกมาขาย ก็เฝ้าอุดหนุน เป็นแฟนประจำ
พร่ำเพ้อฝันหวานกันไปในคนรุ่นเดียวกัน

หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว 
ชมรมแรกที่ฉันไปเลียบ ๆ เคียง ๆ เมียงมองอยู่หน้าห้อง ก็คือชมรมวรรณศิลป์ เหมือนที่ตั้งใจไว้

และบุคคลแรกที่ฉันได้พบที่หน้าประตูชมรมในวันนั้น
ก็คือ พี่อี๊ด  - ไพลิน รุ้งรัตน์  ซึ่งเป็นพี่ปี 4  และกำลังไฟแรงในตำแหน่งประธานชมรม

และแล้ว ฉันก็ถูกดึงดูด ติดหนึบอยู่กับชมรมวรรณศิลป์ตั้งแต่บัดนั้น
แม้ว่าต่อมาจะแยกร่าง ออกไปสิงสถิตอยู่กับชมรมศึกษาและวิจัยชาวเขาที่ห้องชมรมอยู่ใกล้ ๆ กัน
ออกค่ายกับเพื่อนชาวค่ายทุกปี
จนกลายเป็นความผูกพันแนบแน่นอีกสายหนึ่ง

แต่สายสัมพันธ์กับเพื่อนพ้อง พี่น้องชาววรรณศิลป์ก็ยังคงเหนียวแน่น
และสืบต่อมาถึงปัจจุบันเช่นกัน

ย่างเข้าปีที่ 2  ฉันได้เป็นกรรมการชมรมวรรณศิลป์ด้วยคนหนึ่ง
เราคิดทำโครงการใหม่ ๆ กันหลายอย่าง
เพื่อพยายามจะก้าวไปให้พ้นจากการถูกกล่าวหา ว่าพวกวรรณศิลป์ เอาแต่เขียนกลอนหาผัวหาเมีย

รายการ "คุยกับนักเขียน" เป็นงานที่ฉันร่วมรับผิดชอบอยู่ระยะหนึ่ง
เรามักปูเสื่อ  เชิญนักเขียนมานั่งคุยให้เราและผู้สนใจฟัง ที่ริมสระน้ำ ข้างศาลาพระเกี้ยว
คนสนใจมีไม่มากนัก  ครั้งที่ผู้ฟังล้นหลามเป็นประวัติการณ์ที่สุด
ก็คือครั้งที่ชมรมฯเชิญ รงค์ วงษ์สวรรค์  ซึ่งกำลังโด่งดังเป็นพลุ
คราวนั้นจัดคุยที่ชมรม  จำได้ว่าผู้คนเบียดเสียดล้นออกมานอกห้อง 
ต้องยืนชะเง้อชะแง้กันจนเมื่อย

ส่วนครั้งที่ฉันและเจ้าหน่อย เพื่อนรัก หน้าแตกจนหมอไม่รับเย็บ จนเป็นที่มาของเรื่องนี้นั้น
ก็คือครั้งที่ชมรมจัดคุยกับ  กฤษณา อโศกสิน  ที่เพิ่งได้รับรางวัล สปอ. จากเรื่อง "ตะวันตกดิน"

บ่ายนั้น ฉันกับเจ้าหน่อย (พงษ์ศักดิ์ วรยิ่งยง) เหรัญญิกชมรม เพื่อนสนิทคนเดียวจากคณะที่เรียน
ขึ้นรถเมล์ไปที่สำนักงาน สตรีสาร  ข้างวัดตรีทศเทพ
เพื่อไปรับนักเขียน  "กฤษณา อโศกสิน"  ตามที่ได้นัดแนะกันล่วงหน้า

ตอนที่เราไปถึง "สตรีสาร" เราเห็นรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่หน้าสำนักพิมพ์
ลักษณะเหมือนจอดรอคน เพราะคนขับรถนั่งอยู่ประจำที่
เหมือนเตรียมพร้อมที่จะออกรถตามคำสั่งทุกเมื่อ

ไม่รู้ว่าผีตัวไหน แกล้งดลใจทั้งฉันและเจ้าหน่อยให้เข้าใจเหมือนกันว่า นั่นคือรถของนักเขียนของเรา !!

ดังนั้น หลังจากขึ้นไปพบเธอและแนะนำตัวเองแล้ว เราทั้งสามก็เดินคุยกันลงบันไดมา
เหตุการณ์ตอนนี้ออกจะเบลอร์ ๆ สับสน มีการพูดอะไร อย่างไร ฉันก็จำไม่ได้
รู้แต่ว่าเราทั้งสามก้าวขึ้นไปนั่งเอ้เต้  สง่างาม อยู่ที่เบาะหลังของรถเก๋งที่ยังคงจอดอยู่
แถมยังคุยกันไม่หยุด

ข้างฝ่ายพลขับก็ดูไม่อนาทรร้อนใจใด ๆ  เหตุการณ์ช่วงนี้ผ่านไปหลายนาที
จนเราทั้งสองฝ่าย (อาจจะรวมฝ่ายคนขับด้วยเป็นสาม) เริ่มรู้สึกทะแม่ง ๆ
มีลางสังหรณ์แปลก ๆ และมีคำถามในใจว่า..  ทำไมยังไม่ออกรถหว่า

และแล้วหน้าตาที่ค่อนข้างหนาของฉันและเจ้าหน่อยก็เริ่มปริแตก
หลังจากออกปากซักถามกันและกันไปมา
ข้างฝ่ายพลขับก็เข้าใจว่าเราเป็นแขกของเจ้านายเขา
ที่กำลังติดต่อธุระกับอาจารย์นิลวรรณ ปิ่นทอง
แล้วยังไม่ลงมาสักที

ทุกฝ่ายจึงบรรลุถึงซึ่งความเข้าใจ  ต่างก็ให้อภัยแก่กัน
แต่คนที่ไม่น่าให้อภัยที่สุดก็คือฉันกับเจ้าหน่อยนี่แหละ  ที่เกือบจะทำให้ผู้ใหญ่เสียคนไปด้วย

จากนั้นก็พากันกระมิดกระเมี้ยนลงไปโบกแท็กซี่
อายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

คิดขึ้นมาทีไร ยางอายยังไหลอยู่เลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น