วันที่ไอ้แจ้มาอยู่กับเรา พร้อมกับนางแจ้อีก 1 ตัวนั้น เป็นเดือนมีนาคม เมื่อหลายปีก่อน
ไอ้แจ้เป็นไก่ลูกผสม จะว่าเป็นไก่แจ้ก็ไม่เชิง เพราะตัวไม่เตี้ยมาก
คนที่เอามาให้บอกว่าไอ้แจ้เป็นไก่ต่อ คือเอาไว้ล่อไก่ป่า
แต่เป็นเพราะความเจ้าชู้ แทนที่จะล่อตัวผู้ กลับเอาแต่ล่อตัวเมีย
เจ้าของเดิมโมโหเลยขายเสีย
ไอ้แจ้เป็นไก่หนุ่ม ล่ำสัน ขนหลากสี ทั้งเหลือง ดำ แดง น้ำตาล
ลักษณะเด่นสุดของมันคือมีขาที่ใหญ่มาก ดูแข็งแรง ลักษณะเป็นตะปุ่มตะป่ำอย่างชัดเจน
ส่วนนางแจ้ที่มาด้วยมีขนสีเหลืองออกน้ำตาล ตัวเล็กกว่าไอ้แจ้มาก
เราจับไอ้แจ้และนางแจ้ขังไว้ในสุ่มราว 1 อาทิตย์
ให้คุ้นกับบรรยากาศบ้านไร่ของเราเสียก่อน ไม่งั้นมันจะพากันหนี
เราไม่คิดจะเลี้ยงแบบขังกรง เมื่อไรที่มันเริ่มคุ้นเคยกับบรรยากาศ ก็จะปล่อยเป็นอิสระ
ในที่สุดมันก็คุ้นเคยกับบ้านไร่ และคงคิดว่าเป็นบ้านของมันแล้ว
น่าสงสารนางแจ้สีเหลืองน้ำตาลตัวนี้
ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะความ "เจ้าชู้ไก่แจ้" ของตัวผู้
หรือเพราะเธอเจ็บป่วยด้วยโรคประจำตัวอะไรอยู่ก่อนหรือเปล่า
ทำให้เธอชิงลาโลกไปก่อนเวลาที่ควรจะเป็น
นางแจ้มาอยู่บ้านไร่ของเราเพียงเดือนเศษ ๆ เท่านั้น
หลังจากนางแจ้จากไป ไอ้แจ้ก็เหงาและว้าเหว่อย่างเห็นได้ชัด
มันออกไปหากินไกลบ้านมากขึ้น
และมักกระโดดขึ้นไปเกาะขอนไม้ กิ่งไม้สูง ๆ เท่าที่จะขึ้นไปไหว
พลางโก่งคอขัน เสียงดังกังวาน หันหน้าออกไปด้านนอกบ้าน
เรียกร้องความสนใจและเห็นใจ
เผื่อจะมีไก่สาว ๆ ละแวกใกล้เคียงได้ยินแล้วจะสนองตอบกลับมาบ้าง
แต่ก็ดูจะไร้ผล เพราะบ้านไร่ของเราตั้งอยู่โดดเดี่ยว ห่างไกลจากบ้านหลังอื่น ๆ
กระแสเสียงของไอ้แจ้ที่ส่งออกไป หรือแม้จะมีเสียงตอบกลับมา
ก็อาจจะได้ยินเพียงแว่ว ๆ แผ่วเบา และอยู่ไกลเกินไปหา
ฟังดูโศกสลด รันทดใจแทนไก่เสียจริง ๆ
"ต้องหาไก่ตัวเมียมาให้มันแล้วล่ะ" พ่อบ้านบอก
"ต้อง 5 ตัวนั่นแหละจึงจะพอ"
แม่จ้าว !!
ฉันมีหน้าที่ไปหาไก่แม่มาบรรณาการไอ้แจ้
ในที่สุดก็ได้มา 2 ตัว สีขาวทั้งคู่ จากตลาดทุ่งเกวียน
ตัวละ 200 บาท พ่อบ้านบอกน่าจะไม่ใช่พันธุ์แท้
ถ้าเป็นพันธุ์แท้มันต้องแพงกว่านี้มาก
หนึ่งในสองนางไก่ที่ฉันซื้อมา ตัวเตี้ยน่ารักมาก
มิหนำซ้ำที่ขาทั้งสองของเธอ ยังมีขนปกคลุม
ตัวเล็ก ๆ ดูเผิน ๆ เหมือนนกพิราบมากกว่าจะเป็นไก่
กิริยามารยาทเธอดูเรียบร้อย ต้วมเตี้ยม ตามประสาไก่ขาสั้น
ขนสีขาวของเธอ ถ้าพินิจพิจารณาดี ๆ จะเห็นจุดสีเทาอ่อน ปนอยู่ประปราย
ฉันเรียกเธอว่านังญี่ปุ่น
เพราะมีอะไรหลาย ๆ อย่างเชื่อมโยงไปให้รู้สึกอย่างนั้น
แต่ต่อ ๆ มามันก็กลายเป็นนังยุ่นไปโดยปริยาย
ส่วนนางไก่อีกตัว พวกเราเรียก "นังขาว"
บุคลิกเป็นกลาง ๆ ไม่มีอะไรเป็นจุดเด่น
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งนังยุ่นและนังขาวต่างก็ให้กำเนิดลูกน้อยตามกันมาอีกหลายฝูง
แต่นังขาวดูจะมีความเป็นแม่มืออาชีพมากกว่านังยุ่นหลายเท่า
เพราะลูกเธออยู่รอดจนเติืบโตมามากกว่า
นังยุ่นดูเหมือนเลี้ยงลูกไม่ค่อยเป็น
มันมีบุคลิกเป็นไก่ "คุณหนู" ที่ไม่อดทนต่อชีวิตทรหดเท่าไรนัก
อย่างที่พ่อบ้านพูดไว้ไม่มีผิด
ต้องหาไก่ตัวเมียมาให้ไอ้แจ้อย่างน้อย 5 ตัวจึงจะพอ
เพราะไอ้แจ้เล่นวิ่งไล่นางไก่ทั้งสอง ทั้งวัน จนโทรมไปตาม ๆ กัน
บางทีเธอยังเลี้ยงลูกอ่อนอยู่แท้ ๆ ไอ้แจ้ก็เข้าไปป้อ ล่อหน้าล่อหลัง
เห็นวิธีหนีเอาตัวรอดของแม่ไก่แล้วยังนึกขำ
เธอนั่งลง นั่งลงติดพื้นดิน ไม่ยอมท่าเดียว
บางทีเธอถึงกับทิ้งลูกทิ้งเต้า บินหนีขึ้นไปบนกิ่งไม้สูง ๆ
เจ้าตัวผู้ก็จะวิ่งวนอยู่ที่โคนต้น ก็แปลกที่มันไม่บินตามขึ้นไป
ลูกเจี๊ยบตัวน้อย ๆ ตกใจที่แม่หาย พากันร้องกระจองอแง
กระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง
ดูน่าเวทนาและน่าโมโหระคนกัน
แต่ไอ้แจ้ก็แสดงความเป็นสุภาพบุรุษออกมาให้เราเห็นหลายครั้งอยู่เหมือนกัน
บางครั้งมันเจออาหารอร่อยอย่างตัวหนอน ตกอยู่ตามพื้นดิน
ไอ้แจ้จะเรียกตัวเมียมากินก่อน ตัวเองยอมเสียสละให้
นอกจากนั้นไอ้แจ้ยังมีภาวะผู้นำอย่างน่าทึ่ง
เช่นเวลาไก่หนุ่มสองตัวตีกัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องการแย่งตัวเมีย
ไอ้แจ้จะวิ่งเข้ามาขวาง และสามารถยุติการสู้รบนั้นได้ทุกครั้ง
ความเป็นสุภาพบุรุษประสาไก่ตัวผู้ จะแสดงออกอีกครั้งตอนที่ตัวเมียท้องแก่ ใกล้จะออกไข่
เธอจะร้องด้วยเสียงทอดยาวติด ๆ กัน "กู๊ก ๆ ๆ ๆ....."
เธอจะกระวนกระวาย ลุกลี้ลุกลนอยู่กับการหาที่วางไข่
ในช่วงเวลาแบบนี้ ตัวผู้คู่ขาก็จะเฝ้าประกบ คอยดูแล
และพากันไปเสาะแสวงหาที่วางไข่ ตัวผู้จะบินนำขึ้นไปยังที่ต่าง ๆ
เท่าที่สมองน้อย ๆ และสัญชาตญาณของมันจะสั่งการ
ที่จริงเราก็ช่วยเตรียมการให้พวกมันด้วยเหมือนกัน
เช่นเอากระบุง ตะกร้า ไปวางไว้ตามที่ต่าง ๆ ที่คิดว่ามันอาจจะสนใจเข้าไปจับจอง
เช่นวางคร่อมไว้ตามง่ามไม้เตี้ย ๆ จะได้ไม่ต้องบินขึ้นไปสูงนัก
ในภาชนะเหล่านั้นก็จะปูผ้า ปูฟาง เตรียมไว้ให้อย่างดี
แต่พวกเธอก็ดูเหมือนจะยังเรื่องมากและเลือกมาก กว่าจะหาที่ได้ลงตัว
และบางทีก็หาที่ลงตัวไม่ได้
เช่นที่ครั้งหนึ่งเธอบินขึ้นไปไข่บนหลังคารถจี๊ปคันเล็กของเรา
เมื่อฉันขับรถจี๊ปออกไป ไข่ของเธอจึงกลิ้งหลุน ๆ ตกลงมาแตกกระจาย
อีกตัวหนึ่งบินขึ้นไปไข่ในลังอุปกรณ์เครื่องมือช่างของพ่อบ้าน
วางไข่ปะปนอยู่กับค้อนคีม แปรงทาสี กล่องตะปู
อีกแม่หนึ่งเก๋มาก ขึ้นไปไข่บนไม้กระดานแผ่นเดียว ที่วางพาดบนขื่อเพดานโรงรถ
อีกตัวหนึ่งขึ้นไปไข่ในกระเช้าแขวนกล้วยไม้เก่า ๆ
เธอไปนอนเบียดทับต้นกล้วยไม้ ซึ่งโทรมอยู่แล้วต้นนั้นให้โทรมยิ่งขึ้นไปอีก
เธอจึงได้ฉายาจากพวกเราว่า "นังกระเช้า" ตั้งแต่บัดนั้น
แต่ตัวที่เก๋สุด ๆ ก็คือนังสุ่ม
สุ่มที่เราเตรียมไว้ให้เป็นที่อยู่ของไก่แม่ลูกอ่อน
เหมือนเป็นเนอสเซอรี่แม่ไก่
ไก่แต่ละแม่จะเข้ามาใช้บริการ หมุนเวียนกันไป
จนกว่าลูกเจี๊ยบจะแข็งแรงพอที่จะออกไปเผชิญโชคข้างนอกได้
ถึงตอนหัวค่ำ พ่อบ้านจะเอาผ้าพลาสติก หรือไม่ก็สะแลนมาคลุมสุ่ม
เหน็บชายกับขอบสุ่มจนเรียบร้อย
ป้องกันอันตรายจากงูเงี้ยวเขี้ยวตะขอ ที่อาจจะย่องมาฉกลูกเจี๊ยบไปกินกลางดึก
ถึงตอนเช้าก็จะเปิดผ้าคลุมสุ่มออกเพียงครึ่งเดียว เพื่อเวลาคลุมใหม่จะได้ง่าย
แค่คลี่ส่วนที่ทบอยู่บนสุ่มลงมา ก็เป็นอันเรียบร้อย
วันหนึ่ง นังสุ่ม (ชื่อที่ได้มาทีหลัง) ก็ขึ้นไปนอนเอ้เต้อยู่บนยอดสุ่ม
ส่วนบนสุดของสุ่มจะเป็นช่องกลม ๆ กว้างประมาณสัก 6-7 นิ้ว
ประมาณให้เอามือลอดลงไปได้ถนัด ใช้เป็นที่จับเมื่อต้องการยกสุ่มขึ้น
นังสุ่มขึ้นไปนอนตรงช่องนั้นได้ก็เพราะตรงนั้นมีผ้าพลาสติกพาดทับอยู่พอดี
เธอไปไข่ไว้ตอนไหนไม่มีใครเห็น
กว่าจะเห็นก็มีไข่อยู่ตรงนั้น 11 ฟองแล้ว
ผ้าพลาสติกตรงที่เธอไปไข่ไว้ หย่อนลงในช่องกลม
ห่อไข่เอาไว้เป็นพวง..
พ่อบ้านตั้งข้อสังเกตว่า ไข่ที่เห็นอาจจะเป็นไข่ที่มาจากหลายแม่ก็ได้
เพราะเคยมีหลายครั้ง ที่นางไก่ทั้งหลาย แย่งที่วางไข่กันนัวเนียไปหมด
แล้วก็ไปไข่ทับถมกันในรังเดียว
ที่ตลกกว่านั้นก็คือ เคยมีแม่ไก่สองตัว ร่วมกันฟักไข่ในตะกร้าเดียวกัน
จะผ่านการจิกตีกันมาก่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่สุดคงตกลงกันได้
จึงได้มานอนกกไข่เคียงกันอยู่อย่างนี้
พอลูกเจี๊ยบทั้งหมดฟักออกมาแล้ว ไก่สองแม่ก็ช่วยกันเลี้ยงดูลูกอย่างไม่เกี่ยงงอน
มันพาลูกออกไปคุ้ยเขี่ยหาอาหารด้วยกัน ไปไหนไปกันว่างั้นเถอะ
ถึงเวลานอนก็กลับมานอนด้วยกันอีก
มหัศจรรย์แท้ ๆ
ที่จริงตอนนี้ฉันคิดจะเล่าเรื่องราวของ "ตัวผู้"
แต่ทำไมมันกลับมาจบลงที่ "ตัวเมีย" ก็ไม่รู้
ตอนนี้แม่ยังเลี้ยงไก่อยู่ไหมคะ หนูไปบ้านแม่ไม่ยักเห็น
ตอบลบเมื่อก่อนที่บ้านก็เลี้ยงไก่เหมือนกัน ต่างที่เป็นไก่ไข่ ตอนแรกแม่เอฟอยากได้แค่ 4-5 ตัว แต่ยายทำเซอร์ไพรส์ไปเหมาลูกเจี๊ยบมาจากตลาดร่วม 50 ตัวเก็บไข่ขายสนุกไปเลย (แต่พ่อต้องสับหยวกกล้วยให้อาหารจนมือเคล็ดเลย) สุดท้ายก็ต้องเลิกเลี้ยงไปเพราะช่วงปี 38 น้ำท่วมใหญ่ค่ะ
เดี๋ยวนี้แทบไม่ได้เปิด mail เลยไม่เห็นว่าเอฟมาเขียนไว้ ขอโทษนะจ๊ะหลายวันแล้ว
ตอบลบไม่ได้เลี้ยงแล้วจ้ะ โชคดีจังหวะที่เรายกไก่ให้คนอื่นไปหมด หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดวิกฤติไข้หวัดนกขึ้นมาพอดี ถ้าเกิดก่อนแล้วเรายังเลี้ยงอยู่เป็นร้อย ๆ ตัว คงไม่รู้จะจัดการกับมันยังไงเหมือนกัน ฟาร์มไก่ใกล้ ๆ บ้านที่เขาเลี้ยงเป็นหมื่นเป็นแสนตัว พอเกิดวิกฤติครั้งนั้น เขาต้องให้พวกทหารเข้ามาช่วยจัดการ เห็นว่าใช้รถไถ หรือรถทหารไม่รู้ ไถดินแล้วกลบไก่เป็น ๆ ไปจนหมดฟาร์ม ฟังแล้วเศร้ามาก ของเราดีว่าวงแตกไปเสียก่อน ที่จริงเลี้ยงไก่ไข่แบบบ้านเอฟน่าจะดีที่สุด เพราะเราก็กินไข่อยู่แล้ว