วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

ชุดนอนสีชมพู








ในช่วงชีวิตของคนเรา  มักมีเรื่องโหดร้ายหรือแสนเศร้าเกิดขึ้น
อย่างน้อยที่สุดก็ครั้งหนึ่งเสมอ

เมื่อครั้งเรียนจบใหม่ ๆ  ฉันได้เข้าทำงานเป็นพนักงานบัญชี
ของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าชื่อดัง  ที่เพิ่งเปิดใหม่แห่งหนึ่ง

ถึงจะเพิ่งเปิดใหม่  แต่ก็เป็นโรงงานใหญ่  เพราะทำเสื้อผ้าแบรนด์เนมชื่อดัง
มีคนงานเป็นร้อย
ส่วนพวกพนักงานออฟฟิศอย่างพวกเรา  มีอยู่ราว 7-8 คนเท่านั้น

บรรยากาศการทำงานในโรงงานค่อนข้างดี
ผู้จัดการหรือเจ้าของโรงงาน แม้จะเป็นลูกเศรษฐีแต่ก็เป็นคนง่าย ๆ ไม่ถือตัว
เป็นที่รักใคร่ของคนงานพอสมควร
คนงานร่วมร้อยและพวกออฟฟิศต่างก็รู้จักถึงกันหมด

งานแบ่งเป็นหลายแผนก  แผนกตัดมีช่างผู้ชายสองคน
เงินเดือนค่อนข้างสูง  อาวุโสพอ ๆ กัน
แผนกเย็บ นั่งตามจักรต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ราว 50 - 60  เครื่อง
จักรแต่ละตัวเป็นจักรอุตสาหกรรมขนาดใหญ่  เย็บทีละ 2-3 เข็มก็มี

ส่วนแผนกที่สำคัญรอง ๆ ลงไป  เป็นคนงานด้อยฝีมือ ค่าแรงต่ำกว่า
มีพวกตัดด้าย  คอยตัดชายด้ายจากพวกที่เย็บเสร็จ
แผนกสต๊อกผ้า  สต๊อกสำเร็จรูป  เด็กยกของ  แม่บ้าน
รวมทั้งแขกยาม นั่งเฝ้าประตูโรงงาน ที่ทุกคนเรียกว่า "บาบู"

คนงานส่วนใหญ่ความรู้น้อย  ฐานะยากจน  หาได้ไม่คุ้มตัวกันทั้งนั้น
คนที่พอมีทรัพย์สินอยู่บ้าง หรือคนที่อดออมจริง ๆ เท่านั้น จึงจะพออยู่ได้

ป้านวล  เป็นคนงานระดับหัวหน้างานคนหนึ่งที่อยู่ในฐานะไม่เดือดร้อน
ซ้ำยังมีเงินให้คนงานด้วยกันกู้  ในอัตราสากลคนนอกระบบ
ร้อยละ 5  ร้อยละ 10  ต่อเดือน  ตามสภาวะตลาด หรือปัจจัยส่วนบุคคล
เก็บดอกเป็นรายเดือน  หรืออาจจะรายวันด้วยซ้ำ

ลูกค้าของป้านวล เท่าที่พอรู้มีอยู่ไม่น้อย
หนึ่งในจำนวนนั้นคือ "ไหม"  สาวเชื้อจีน  แม่ม่ายลูกสอง

พวกคนงานถือว่าพวกออฟฟิศอย่างเราเป็นคนอีกระดับหนึ่ง ที่เหนือกว่าพวกเขา
พวกเขาเรียกเราว่า "คุณ"  นำหน้าชื่อกันทุกคน
หากใกล้ชิดหน่อยก็จะเรียก "พี่" ในเชิงให้เกียรติ มากกว่าจะถือตามอาวุโส

ไหม มักมาทำงานสาย  ตอกบัตรสีแดงเต็มพรืดเกือบทั้งเดือน
ถ้ามาสายก็จะถูกหักเงินเดือนไปตามเวลาที่ขาด
ถ้าใครไม่เคยสาย  ไม่เคยขาดเลยในเดือนนั้น
จะได้เบี้ยขยันเพิ่มมาอีกเดือนละ 25 บาท  (เมื่อ 30 กว่าปีก่อน)

ดังนั้น ก่อนเวลาเข้างาน 8 โมงตรง
ภาพที่เห็นเจนตาก็คือบรรดาคนงานพากันวิ่งสุดชีวิต
เพื่อจะไปให้ถึงเครื่องตอกบัตรก่อน 8 โมงให้ได้
เพราะเพียงแค่เวลาเปลี่ยนไปเป็น 8.01  
สีหมึกบนใบงานก็จะเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีแดงทันที

ไหม ไม่เคยมาทำงานทัน  หรือทันก็น้อยวันมาก
สอบถาม เธอบอกว่า เธอมีเงินค่ารถเมล์นั่งจากบ้านตลาดพลู มาถึงแค่สวนลุมฯเท่านั้น
จากสวนลุมฯ จึงต้องเดินไปโรงงาน ที่อยู่แถวเพลินจิต
เป็นระยะทางราว 1 กิโลเมตร

อะไรจะขนาดนั้น !!

จากเรื่องค่ารถเมล์  ทำให้ฉันสนใจใคร่รู้เรื่องราวของเธอเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ไหมมีหนี้สินจากการกู้ยืม ทั้งจากป้านวล และคนอื่น ๆ ทีละเล็กละน้อย
จนกระทั่งดอกเบี้ยก็ไม่มีปัญญาส่ง

ผัว - ผู้ชายที่ไร้ความรับผิดชอบคนนั้น ทิ้งเธอและลูกไป
ตั้งแต่ลูกคนเล็ก เพิ่งจะอายุได้เพียง 2-3 เดือน

พี่น้องของเธอก็พอมีอยู่บ้าง  แต่ละคนต่างก็ทำมาหากินแค่พอคุ้มตัว
ใครก็ไม่อยู่ในฐานะจะช่วยใครได้

เรื่องราวของเธอฟังดูดราม่าเหมือนนิยายน้ำเน่าไม่รู้จบ

วันหยุดวันหนึ่ง  ฉันไปบ้านเพื่อนแถววงเวียนใหญ่
เสร็จธุระแล้วจึงลองนั่งรถเลยไปตลาดพลู
และตามหาบ้านเธอจนพบ

ไหมตกใจมากที่เห็นฉัน  เธอคงอายสภาพบ้านช่อง
มันเป็นบ้านเช่า ลักษณะไม่ต่างจากบ้านในสลัม

ห้องแถวไม้สองชั้นดูเก่าโทรมเต็มที
เธอกับลูกเช่าอยู่ชั้นล่าง  ชั้นบนมีคนเช่าอยู่อีกครอบครัวหนึ่ง
สภาพภายในบ้านมืดสลัว  แม้จะเป็นเวลากลางวัน
มันน่าจะเป็นโกดังเก็บของ  มากกว่าจะเป็นที่อยู่ของมนุษย์






วันรุ่งขึ้น  ฉันตัดสินใจเรียกไหมมาถาม  ว่าเธอมีหนี้สินทั้งหมดอยู่เท่าไร
นับเป็นความบ้าบิ่นของพนักงานใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานครั้งแรกในชีวิตอย่างฉัน

เธอบอก หนี้เงินต้นทั้งหมดมีเพียง 2 พันบาท (เมื่อ 30 กว่าปีก่อน)
น้อยกว่าค่าอาหารกลางวันของบางคน..

ฉันนัดให้เธอมารับเงิน 2 พันในวันรุ่งขึ้น
เป็นเงินที่เริ่มเก็บออมจากการทำงาน ก้อนแรกในชีวิต

"เอาเงินนี้ไปใช้หนี้ให้หมดเลยนะ  อย่า่ให้มีหนี้อีก  แล้วเธอมาผ่อนกับพี่เดือนละ 200
ไม่ต้องมีดอกเบี้ย"
เธอพนมมือไหว้  นัยน์ตารื้น

ถึงช่วงปีใหม่  ฉันได้รับ ส.ค.ส. จากลูกสาววัย 8 ขวบของเธอ
เป็นภาพพุทธประวัติ เหมือน ส.ค.ส.ราคาถูกที่วางขายอยู่ทั่วไป
ลายมือโย้เย้แบบเด็ก ๆ เขียนด้วยดินสอ
อวยพรความสุขให้ "คุณน้า"  ลงชื่อจาก "น้องอ้อ"

ที่พิเศษไปกว่านั้น  มีถุงของขวัญจากไหม
ฉันถึงกับโวยวายด้วยความรู้สึกเสียดายเงินแทน
แต่ก็ขอบคุณในน้ำใจ ที่เธอคงคิดว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว
แทนการขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง

ถึงบ้าน ฉันแกะห่อของขวัญ
มันคือชุดนอนสีชมพูสด  เนื้อผ้าชีฟองบางเบาสองชั้นดูฟูฟ่อง
มีลูกไม้จับจีบระบายเต็มอก  ราคาอาจจะไม่แพงนัก  แต่ก็คงไม่ถูก

"โธ่เอ๊ย..."  ฉันอุทานอยู่คนเดียว  ขำ ๆ ขื่น ๆ อย่างไรพิกล
คิดถึงหางเครื่องกับสีสันสดจ้าบนเวทีลูกทุ่ง

"ชุดนอนสีชมพู"  แขวนอยู่ที่ราวนานวัน  ฉันยังไม่เคยเอามาใส่
ค่าที่ไม่ค่อยคุ้นกับชุดทำนองนี้  และรู้สึกว่ามันหรูหราเกินไป

"หวังว่าอะไร ๆ ในชีวิตของเธอ คงจะสดใสขึ้นเหมือนสีชมพูนี่นะ ไหม.."
ฉันรำพึงอยู่ในใจ

แต่...
โลกนี้ช่างเต็มไปด้วยคำว่า แต่..

อะไรหนอที่ทำให้ฉันคิดอะไรง่าย ๆ  ว่าชีวิตของเธอน่าจะดีขึ้น
หากว่าได้ใช้หนี้สินหมดแล้ว

ชีวิตมีอะไรที่ซับซ้อน  สับสน ยิ่งกว่าเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ

อะไรหนอที่มืดดำ บีบคั้นอยู่ในหัวจิตหัวใจของคนเรา
เสียจนแม้แต่ต้นไม้แห่งความหวังต้นเล็ก ๆ สักต้น  ก็ไม่มีที่ให้งอกเงย

ไหมฆ่าตัวตาย  หนีความดำมืดทั้งมวล
มันอาจเป็นทางสว่างเพียงสายเดียวที่เธอคิดได้
แต่มันก็กลับเป็นทางมืด
ที่พาดทับลงบนชีวิตลูกน้อยทั้งสองอย่างโหดร้ายที่สุด

เวทีเจิดจ้าที่ฉันเคยจินตนาการไปถึง  พลันดับวูบลงต่อหน้าต่อตา

ไหมแขวนคอตาย ในบ้านเช่าหลังที่ฉันไปหา
ลูกทั้งสองไปอยู่กับน้าสาวของพวกเขา
ป่านนี้คงโตมากแล้ว - หากว่าเธอยังมีชีวิตอยู่

ชุดนอนสีชมพู แขวนอยู่ที่ราวเพียงสองเดือนเศษ
ก่อนจะถูกพับเก็บเข้าตู้ เพียงเพราะฉันอ่อนแอเกินกว่าที่จะเห็นมันอีกต่อไป

ฉันย้ายบ้านครั้งแล้วครั้งเล่า
ในที่สุดชุดนอนสีชมพูก็หายไปในครั้งไหนไม่รู้
เหมือนชีวิตของเธอที่หายไปจากโลกนี้

จนบางครั้งฉันอดถามตัวเองไม่ได้ว่า
เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริง ๆ หรือเปล่า....







1 ความคิดเห็น: