วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

ฟิตคาราล








ฟิตคาราลเป็นธุรกิจของสองผัวเมียชาวฝรั่งเศส อายุราว 50 เศษ  สูบบุหรี่จัดทั้งคู่
ทำธุรกิจประเภทซื้อมาขายไป  ค้าขายกับคนไทยมานานหลายปี

ช่วงปี 2539 -2540  เป็นช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง
ธุรกิจของเรายังลุ่ม ๆ ดอน ๆ เหมือนธุรกิจอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบ

ไม่มีคำสั่งซื้อใหม่ ๆ จากลูกค้า
ลูกค้าที่สั่งของ ส่งของไปให้แล้วก็ยังไม่ยอมจ่ายเงิน
เงินหมุนเวียนเริ่มฝืดเคือง จนต้องวิ่งเต้นขอขยายสินเชื่อกับธนาคารอีกรอบ

เราทดท้อและคิดว่างานหัตถกรรมอย่างเราไม่น่าจะอยู่รอดได้อีกแล้ว

แต่แล้วสองผัวเมียจากฟิตคาราลก็โผล่เข้ามาหาเราในค่ำวันหนึ่ง
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราไม่เคยรับแขกลูกค้าคนไหนมาก่อน

คนที่พาฝรั่งสองคนผัวเมียนี้มาคือ "เอ"  เด็กสาวผู้มีบุคลิกเงียบขรึม
แต่ความสามารถทางศิลปะของเธอฉกาจนัก
เธอเป็นดีไซน์เนอร์ให้บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในเชียงใหม่
วันนั้นจึงมีเอ ซึ่งเป็นทั้งคนชักนำและคนนำทาง 
และ "สุกอน" เจ้าของบริษัทที่เอทำงานอยู่ด้วย เป็นคนขับรถ

ฝรั่งตื่นเต้นมากกับตัวอย่างสินค้าที่เห็น และเริ่มเจรจาซื้อขายทันที
สินค้าที่สั่งมีสองส่วน  คือส่วนสินค้าที่เรามีอยู่เดิม เป็นแบบมาตรฐาน พื้น ๆ
เช่นสมุดแบบต่าง ๆ  ชุดจดหมาย
กับอีกส่วนคือแบบที่ฝ่ายฟิตคาราลเป็นคนออกแบบ

ในช่วงออกแบบมีการทดลองผลิต  ส่งกลับไปมาเพื่อดูผลงาน
จนกว่าจะพอใจได้ข้อสรุป ทั้งรูปแบบและจำนวนการสั่ง

ช่วงนั้นสองผัวเมียจะอยู่เมืองไทยนานนับเดือน
ถ้าไม่อยู่เชียงใหม่ก็ลงไปภูเก็ต หรือสมุย 
เมืองท่องเที่ยวที่คนไทยไม่มีโอกาสได้สัมผัส ถ้าไม่มีเงิน
หรือไม่ก็ข้ามไปลาว เวียตนาม อินเดีย
รอเราทำตัวอย่างและตัดสินใจสั่งของ
ติดต่อธุรกิจอื่น ๆ ของเขาและเที่ยวไปในตัว  ใช้ชีวิตน่าอิจฉาจริง ๆ

งานที่คาเมน ฝ่ายภรรยาเป็นคนออกแบบ  เป็นงานสไตล์ผู้หญิงออกแนวหวาน  
มีโบว์แก้ว  ลูกปัด  ไข่มุก ตุ้งติ้ง  ผ้าโปร่ง แม้กระทั่งเปลือกหอย เป็นส่วนประกอบ
ซึ่งผู้ผลิตฝ่ายชายของเราไม่ค่อยชอบใจนัก
เขาชอบแบบที่ดูหนักแน่น ฟิตแอนด์เฟิร์ม  เช่นสมุดใบไผ่  สมุดพับ
ที่ทำจากกระดาษเนื้อแน่น เรียบกริบ  สมุดที่เปิดใช้ได้อย่างสะดวก
บอกฝีมือประณีตแบบหนักแน่นของคนทำ

แต่ก็ยอมประนีประนอมเข้าหากัน
โดยมีงานทั้งสองลักษณะในการสั่งซื้อครั้งหนึ่ง ๆ

การติดต่อระหว่างเรากับฟิตคาราลจะผ่านสุกอน
ทั้งในแง่การส่งของ ที่สุกอนจะติดต่อชิปปิ้งเอง
เพราะฟิตคาราลสั่งของจากผู้ผลิตหลายราย
สุกอนทำหน้าที่เป็นเทรดเดอร์  รวมทั้งเรื่องการจ่ายเงินค่าสินค้าให้ผู้ผลิตทั้งหลายด้วย

แล้วสุกอนก็สร้างปัญหาให้เราจนได้ 
จากการเอาเงินไปหมุนก่อนแล้วไม่ยอมจ่าย  หรือจ่ายช้ามาก
สุกอนจะใช้เทคนิคการถ่วงเวลา  กระทั่งมีคำสั่งซื้องวดใหม่มา
จึงจะยอมปล่อยเงินก้อนเก่าให้

แรก ๆ เราไม่กล้าบอกฝรั่ง ด้วยความคิดโง่ ๆ ว่ากลัวฝรั่งดูถูกคนไทย
ว่าเรื่องแค่นี้พวกมันก็ยังเอาเปรียบกัน  กลัวเสียศักดิ์ศรีประเทศชาติไปโน่น
แต่ในที่สุด ศักดิ์ศรีก็ศักดิ์ศรีเถอะวะ  ท้องกิ่วแล้วจะมัวรักษาหน้ากันอยู่ทำไม
เราขอร้องให้ฟิตคาราลจ่ายเงินให้เราโดยตรง
แต่ฟิตคาราลปฏิเสธ..
อ้างความไม่สะดวกต่าง ๆ นานาของเขา
เราจึงต้องทนอยู่กับสุกอนต่อไป พร้อมกับความรู้สึกคับแค้นใจที่ไม่มีทางเลือก

สองผัวเมียฉลาดและเขี้ยวพอสมควร
ที่ว่าเขี้ยวก็คือต่อรองราคาเก่งมาก ชนิดที่คนไทยอาย
เป็นฝรั่งที่ซอกแซกรู้ไปหมดว่ามีอะไรขายที่ไหน  ทั้งที่เชียงใหม่และกรุงเทพฯ
เดินย่ำตรอกเล่าโจ๊ว และสำเพ็งมาจนปรุ
ขอนามบัตรร้านขายวัตถุดิบต่าง ๆ มาให้เราด้วย  รู้มากกว่าคนไทยเสียอีก
   
รู้จังหวะจะโคนที่จะสัมพันธ์กับเรา
มาหาเมื่อไรก็ปากหวาน  มีของติดไม้ติดมือมาฝาก  ชื่นชมสินค้าเราทุกครั้ง
แต่ไม่ยอมปรับราคาให้ง่าย ๆ
รายการไหนขอขึ้นราคาแกตัดออก  ยกเว้นตัวที่เป็นหลักจริง ๆ
ก็จะยอมแบบต่อรองกันอีกชั้น
เวลาจะปรึกษาหารือกันเอง ก็คุยภาษาฝรั่งเศส น็องแน็ง ๆ ไม่ให้เรารู้เรื่องด้วย

เราเล่นเอาล่อเอาเถิดกับสุกอน จนกระทั่งปลายปี 2547 
สุกอนก็เชิดเงินเราไปอย่างหน้าตาเฉย  ร่วมแสนบาท

หลังจากทั้งโทรศัพท์ไล่ล่า และเขียนจดหมายด่า-อย่างสุภาพ หลายครั้ง
สุกอนก็ยอมรับสาย และบอกเราเสียงอ่อย ๆ ว่า
"พี่ดีกับผมมาก  ไม่เคยด่าผมหยาบคายเหมือนบางคน  ผมไม่ลืมพี่หรอก
ถ้ามีผมจะให้  แต่ตอนนี้ผมไม่มีจริง ๆ"

เออใช่.. ฉันดีกับนายมาก  ด่าด็ด่าอย่างคลาสสิค  อ้างชาติบ้านเมืองมาตลอด
กลัวฝรั่งมันดูถูกว่าคนไทยขี้โกง  แล้วคนไทยก็โกงกันเองจริง ๆ ด้วย
เงินแสนสำหรับบางคนนั้นเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย
แต่ธุรกิจที่เล็กยิ่งกว่า เอสเอ็มอี อย่างเรานั้น เกือบทำให้กิจการล้มได้

นายโกงฉันทั้งที่นายเป็นคนในตระกูลใหญ่
พ่อนายก็เป็นเพื่อนกับพ่ออดีตนายกฯคนดัง
แม่นายก็คนดัง  เมียนายก็คนดัง  ดังกันทั้งตระกูล
แต่นายก็ยังให้เกียรติคนจน ๆ อย่างฉันด้วยการโกง
ฉันควรจะภูมิใจไหมล่ะนี่ ?

ในที่สุดฝรั่งก็ได้รู้เรื่องเสียที เมื่อเรายื่นไม้ตาย
บอกว่าเราไม่สามารถทำงานให้คุณได้อีกต่อไปแล้วนะ
นั่นแหละ ฟิตคาราลจึงยอมโอนเงินให้เราโดยตรงในการสั่งซื้อครั้งถัดไป
แถมยังบอกกับเราอีกว่า
"คนอื่นก็โดน"  หมายถึงผู้ผลิตรายอื่น ๆของเขา
นี่แสดงว่าจริง ๆ แล้ว ฝรั่งก็รู้มาตลอดว่าสุกอนเป็นคนอย่างไร..

ฝรั่งนะฝรั่ง
คงคิดว่าธุระไม่ใช่ และไม่มีหน้าที่ต้องมารับผิดชอบ
พวกแกคนชาติเดียวกัน  ไปฟัดกันเอาเองก็แล้วกัน

แต่คำสั่งซื้อถัดไปของฟิตคาราลก็กลับลดปริมาณลงเกือบครึ่ง
ทำให้เราซึ่งขาดทุนจากการโกงอยู่แล้ว และยังไม่มีลูกค้ารายอื่น
กลับยิ่งปริวิตกว่าจะไม่มีงานเข้ามาคุ้มกับค่าใช้จ่าย

ฝรั่งนะฝรั่ง 
แทนที่จะเห็นใจ  ไม่ต้องมาช่วยรับผิดชอบอะไรหรอก
แค่ช่วยสั่งของให้มากขึ้นหน่อย เพื่อช่วยชดเชยให้เราบ้าง
ให้เห็น "น้ำใจ" กันบ้างเวลาที่เราเดือดร้อน  ก็เปล่าเลย...

ครั้งหนึ่งฝรั่งยังเล่าให้เราฟังอีกว่า
สุกอนไปออกงานแฟร์ที่กรุงเทพฯแล้วถูกขโมยรถ
เป็นรถหรู ราคาแพงยี่ห้อยอดนิยมในขณะนั้น
(ดูฝรั่งคู่นี้จะมีข้อมูลเชิงลึกกว่าคนไทยอย่างเราเสียอีก)
ที่ฉันนึกขำก็คือ คาเมนพูดคำ ๆ หนึ่งออกมา เป็นการสรุปที่ชัดเจน ตรงเป้าที่สุดว่า
"กรรม !"
เป็นอีกครั้งที่ฉันอดนึกพิศวงฝรั่งคู่นี้ขึ้นมาไม่ได้

ฟิตคาราลตัดวงจรของเราออกจากสุกอนได้ประมาณ 2 ปีก็เกิดวิกฤติเศรษฐกิจอีกครั้ง
คราวนี้เป็นวิกฤติโลก  เรียกกันว่าวิกฤติแฮมเบอเกอร์
ที่มีต้นตอมาจากอเมริกา

ฟิตคาราลส่งข่าวมาบอกเราว่า
"เพื่อเป็นการ play safe  เราขอหยุดสั่งของด้วยประการทั้งปวง
ถ้าสถานการณ์ดีขึ้น  อาจสั่งได้ในเดือนกุมภา ปีหน้า (ขณะนั้นเป็นเดือนกันยา 51)
และเมื่อใกล้ถึงกุมภา  ฟิตคาราลก็ส่งข่าวมาอีกว่า
ทุกสิ่งยังคงอยู่ในความเงียบ  อาจจะสั่งได้ในเดือนเมษา

แต่ทุกสิ่งก็เงียบจริง ๆ  เพราะฟิตคาราลไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย

สถานการณ์ของธุรกิจ sme  ( suffer-mad-evil ) อย่างเรา
ก็อยู่กับความสับสนอลหม่าน คุกรุ่นมาโดยตลอด

กระทั่งปลายปี 2554 - หลังจากไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันมา 3-4 ปี
จู่ ๆ ฟิตคาราลก็ส่งอีเมลเข้ามาบอกว่า
อะไร ๆ เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วนะ  เราจะเริ่มสั่งของยูแล้ว
เรายังเน้นแนวธรรมชาติเหมือนเดิม  ยูช่วยปลูกดอกหญ้า ดอกไม้ไว้ให้เรามาก ๆ ด้วยนะ
เพราะสมุดดอกหญ้าของยูสวยมาก.. เราจะสั่งแน่นอน
ส่วนอัลบั้มแต่งงานเล่มใหญ่ ๆ ที่ยูไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร เราจะไม่สั่ง
เราจะสั่งแต่เล่มเล็ก ๆ ที่ยูทำได้ดี...
หวานมาเลยล่ะ..

สายไปเสียแล้ว...ฟิตคาราล
ไม่ว่าจะเล่มเล็กเล่มใหญ่
เพราะตอนนี้เราเดี้ยงเกินกว่าจะลุกขึ้นมาทำงานปริมาณมาก ๆ ให้คุณได้อีกต่อไป
เราไม่ใช่มนุษย์เหล็กที่สามารถยืนต้านพายุอยู่ได้ทุกฤดูมรสุม
เพื่อรอคอยการกลับมาของใครตามอำเภอใจ..


เราตอบคุณกลับไปว่า...ยินดีที่ได้ข่าวจากคุณอีก
แต่ขอโทษจริง ๆ ที่เรารับงานคุณไม่ได้อีกแล้ว
ตอนนี้คนงานเราเหลือน้อยมาก และเรามีงานเล็ก ๆ จากลูกค้าเล็ก ๆ ของเราเต็มมือแล้ว
เราไม่มีกำลังเหลือพอให้ยูอีก    ซอรี่จริง ๆ

เป็นอันจบตำนานลูกค้าชาวฝรั่งเศส
ที่คบหากันมายาวนานและเหน็ดเหนื่อย
และดูเหมือนไม่ได้อะไรมากไปกว่าการมีงานให้คนงานทำ
ไม่มีเงินเหลือพอแก่การใช้หนี้ธนาคาร  และยังคงเป็นหนี้อยู่ต่อไป

แต่ส่วนตัวลึก ๆ ก็มีความสะใจเล็ก ๆ ที่ได้เป็นฝ่ายปฏิเสธฝรั่งเศส  มหาอำนาจ
ที่ในประวัติศาสตร์เคยเข้ามากร่างยึดเมืองนั้นเมืองนี้ทั้งของเราและเพื่อนบ้าน
สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจไปทั้งภูมิภาค
และบางปัญหาก็ยังคงยืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้





1 ความคิดเห็น: