วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

ลุงลาว






ลุงลาวเป็นฝรั่งเยอรมันวัยปลาย  ชื่อเสียงเรียงนามจริง ๆ ว่าอะไรอย่าไปอยากรู้แกเลย
เราเองบางครั้งยังนึกชื่อแกอยู่ตั้งนานกว่าจะนึกออก
จึงเรียกกันว่าลุงลาวนี่แหละ

ลุงลาวเล่าให้ฟัง - ด้วยภาษาไทยที่ชัดเจน  ว่าแกมาเที่ยวเอเซีย ไปมาทั่วแล้ว
กระทั่งวันหนึ่งได้ไปหลวงพระบาง ประเทศลาว
ก็เกิดความรักหลงในเสน่ห์ของเมืองหลวงพระบางอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
บอกกับตัวเองทันใดว่า ที่นี่แหละคือบ้านของฉัน

เมืองหลวงพระบางที่ใคร ๆ ต่างก็ร่ำลือในความสงบ สวยงาม บริสุทธิ์
ทำให้ลุงลาวตัดสินใจซื้อบ้าน ปักหลักทำมาหากินอยู่ที่นั่น จนถึงทุกวันนี้

นี่เองคือที่มาของชื่อ -ลุงลาว- ที่เราแอบตั้งให้

ลุงลาวพูดเก่ง คุยสนุก  อารมณ์ดี  ชอบเล่าเรื่องตลก
บางทีก็เสียดสีคนโน้นคนนี้ โดยเฉพาะนักการเมือง หรือคนใหญ่คนโตบางคน
จึงคุยกันถูกคอ ถูกอกถูกใจ

"ผมชอบงานของคุณมาก  งานคุณไม่เหมือนใคร  สวยมาก ๆ"  ลุงหยอดคำชม

"เราจะมาทำธุรกิจกัน  ผมจะสั่งของคุณไปขายที่โน่น
คุณรู้มั้ยคนลาวเรียกสมุดว่าอะไร"   เราสั่นหัว

"บึ้ม !"  แกทำเสียงคล้ายระเบิดลูกเล็ก ๆ
"อะไรนะ"
"บึ้ม !  ฮ่า  ฮ่า  ฮ่า...เรากำลังจะมาทำธุรกิจขายบึ้ม  ฮ่า  ฮ่า.."

ทุกคนหัวเราะ  ฮ่า  ฮ่า  ฮ่า  ขึ้นพร้อมกัน
เหมือนหัวเราะให้กับการเริ่มต้นธุรกิจที่มีเค้าว่าจะไปได้ดี

เราค้าขาย "บึ้ม" กับลุงลาวด้วยมูลค่าเล็ก ๆ น้อย ๆ
แบบซื้อมาขายไปไม่ทันถึงขวบปี
กำลังจะเริ่มค้าขายล็อตใหญ่กันแบบเป็นเรื่องเป็นราว ก็มีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นเสียก่อน

ผู้หญิงคนหนึ่งโทรศัพท์มาจากเชียงใหม่
ถามเราว่า  "ที่นั่นที่ไหน"
ซักไซ้กันจนรู้เรื่องว่า เธอเป็นเจ้าของเกสต์เฮาส์แห่งหนึ่ง
กำลังตามล่าลุงลาว ผู้ชักดาบค่าที่พักของเธอ
ทำทีว่าทิ้งของไว้จะกลับมาอีก  ที่ไหนได้เป็นผ้าขี้ริ้วที่ทิ้งไว้ตบตา

เธอบอกว่าเป็นเงินไม่เท่าไรหรอก แต่เสียความรู้สึก
และบังเอิญในรายการใช้โทรศัพท์-ที่ยังไม่ได้จ่าย- ของลุงลาว
ปรากฏหมายเลขของเราอยู่ด้วย  เธอจึงลองโทรมา "ตามกลิ่น"
และตามได้ถูกจังหวะเวลาพอดีเสียด้วย  เธอจึงแอบนัดหมายกับเราอย่างลับ ๆ

วันรุ่งขึ้น อันเป็นวันที่ลุงลาวนัดจะมาเจรจาธุรกิจกับเราที่บ้าน
ก็ปรากฏหญิงสาวร่างใหญ่ ขี่มอเตอร์ไซค์เอนทาโร อย่างเท่ห์ คันเบ้อเริ่มยังกับเป็นการข่มขวัญ  
มาดักพบก่อนเวลานัด

สองฝ่ายเจรจากันอย่างไรไม่ทราบ เพราะเราไม่อยากให้ลุงลาวเสียหน้า
จึงปล่อยให้คุยกันเองตามลำพัง
และเริ่มสังหรณ์ว่า  การค้าขายบึ้มระหว่างเราอาจจะมีปัญหา..

ขนาดค่าเช่าห้องคืนละไม่กี่ร้อย แกยังชักดาบหน้าตาเฉย
นี่ตกลงซื้อขายกันเบื้องต้นเป็นหลักหมื่น จะเสี่ยงได้หรือ

"ขอเงินมัดจำค่าสินค้า 40 เปอร์เซ็นต์"  เราบอก
"โอเค"  ลุงลาวตอบตกลงอย่างง่ายดาย
อาจเป็นเพราะเพิ่งถูกดิสเครดิตจากแม่สาวเอนทาโรมาหยก ๆ  จึงต้องขึงขังเข้าไว้
แกขอให้เราพาออกไปเบิกเงินที่ธนาคารก่อนกลับ

"เดือนหน้า ไอจะมารับของด้วยตัวเอง"  ลุงลาวยื่นเงินค่ามัดจำ 40 เปอร์เซ็นต์ให้

เรารีบเร่งทำงานจนเสร็จตามกำหนด..

ถึงวันนัด  ลุงลาวไม่ได้มาด้วยตัวเองเหมือนที่บอกไว้
แต่ส่งศิลปินหนุ่มชาวอังกฤษ  รูปร่างผอมหยองกรอด ชื่อ เดวิด
ซึ่งบอกว่าเป็นสต๊าฟ มาแทนตัว

"ไอจะมารับของทั้งหมด"   ศิลปินหนุ่มบอกความประสงค์
เรายกกล่องสินค้ามาวางเรียงรอไว้อยู่แล้ว
แต่เมื่อเราถามถึงเงินค่าของส่วนที่เหลือ  หนุ่มเดวิดตีหน้าซื่อ ปฏิเสธเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ
ยืนยันว่าได้รับคำสั่งให้มาเอาของอย่างเดียว  ไม่ได้รับคำสั่งให้มาจ่ายเงินด้วย
ทำเอาเราอึ้งไปชั่วขณะ  ก่อนจะตัดสินใจบอกไปว่า

"งั้นยูก็เอาของไปเท่ากับมูลค่าเงินมัดจำที่ยูจ่ายมาแล้วก็แล้วกัน
ของที่เหลือไอจะเก็บไว้ให้  และจะให้ไปก็ต่อเมื่อยูมาจ่ายเงินแล้ว"

เดวิด ฝรั่งกล้องแกล้ง ขนของไปเท่าจำนวนเงินมัดจำ 40 เปอร์เซ็นต์

คืนนั้น ลุงลาวโทรทางไกลมาจากหลวงพระบาง
หงุดหงิด อารมณ์เสีย  ตัดพ้อต่อว่า โวยวายว่าเราไม่ให้เกียรติ ไม่ไว้วางใจ
เราไม่ได้โต้แย้งอะไร  อยากจะคิดอย่างนั้นก็คงช่วยไม่ได้

ต้องขอบคุณพระเจ้า ที่ส่งหญิงเอนทาโรคนนั้นมาเป็นกระจกเงา
ส่องให้เราเห็นความจริงถึงบ้าน แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
มิฉะนั้นคนซื่อ ๆ เซ่อ ๆ อย่างเราก็คง "เสร็จ" ฝรั่งไปแล้ว

เราย้ำกับเขาเป็นคำสุดท้ายว่า  "เงินมา  ของไป"

แต่ลุงลาวก็ไม่ติดต่อมาอีกเลย...นานนับเดือน  หลายเดือน และคงตลอดไป
สินค้าที่เรารีบเร่งทำให้ เหลือบานเบอะอยู่ในสต๊อก คิดเป็นเงินหลายหมื่นบาท

"ฝรั่งวอก"  คนงานของเราคนหนึ่งสรุปได้ชัดเจนดีแท้ !






2 ความคิดเห็น:

  1. โอ๊ะโอ๋ ฝรั่งน่ากลัวเยอะเหมือนกันนะคะ
    ปล. เรื่องเล่าของแม่เป็นอกาลิโกมาก ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่เรื่องเล่าที่สนุกตื่นเต้นต้องไม่ขึ้นกับกาลเวลาแบบนี้แหละค่ะ ชอบค่ะ

    ตอบลบ
  2. ฝรั่งดี ๆ ก็เยอะ จะค่อย ๆ ฟื้นความจำเขียนถึง บางคนก็ช่วยชีวิตเราเลยแหละ

    ตอบลบ