วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สุข

ฉันหิ้วถุงกับข้าวพะรุงพะรังเดินออกจากตลาด  นึกโมโหตัวเองว่าลืมเอาตะกร้ากับข้าวใส่ท้ายรถไว้ (อีกแล้ว)  ไม่อยากเพิ่มจำนวนถุงพลาสติก ที่มีอยู่แล้วมากมายมหาศาลในบ้านในครัว ให้มากขึ้นไปอีก   แต่ฉันก็ยังลืมมันเกือบทุกครั้ง...  ลืมได้ลืมดี   ดังนั้น สิ่งที่พอทำได้ในแต่ละครั้งก็คือพยายามยัดกับข้าวหลากหลายชนิด ลงในถุงใบเดียวกันให้ได้มากที่สุด

วันนั้นจอดรถไกลจากตลาดไปราว 100 เมตร  กำลังไขกุญแจเปิดประตูวางกับข้าว  และกำลังจะปิดประตูรถ  เสียงร้องทักที่ฉันฟังไม่ถนัดนักดังขึ้น  ทำให้ชะงักและต้องหันไปมอง  เสียงนั้นมาจากแม่อุ๊ยร่างผอมบางคนหนึ่ง  สวมเสื้อแขนยาวสีหม้อฮ่อม  ผ้าซิ่นพื้นเมืองลายขวางสีน้ำตาลสลับเหลือง เชิงซิ่นสีน้ำเงินจาง  ทั้งเสื้อและซิ่นซีดเก่าจากการใช้งานมานาน  ผมสีเทามุ่นมวยอยู่ข้างหลัง  มีดอกมะลิที่เริ่มเหี่ยว เสียบอยู่ข้างมวยผมช่อหนึ่ง  แม่อุ๊ยหาบกระบุงเล็ก ๆ สองข้าง

ฉันยิ้มให้  พลางชะโงกดูกระบุงของแม่อุ๊ย  ในใจคิดว่าแกคงเรียกซื้อของ  แต่กลับมองไม่เห็นของอะไรสักอย่าง  มีแต่ถุงพลาสติกยับ ๆ ที่ใช้แล้ว ทับสุม ๆ กันอยู่ในกระบุง  ความคิดด้านลบแวบเข้ามาจาง ๆ...จะขอเงินหรือเปล่านะ...เสื้อผ้ามอซอที่มองเห็น เข้ามาช่วยจัดฉากเป็นองค์ประกอบร่วม  เสริมแต่งต่อยอดความคิดด้านลบ  กับทั้งเคยมีประสบการณ์คล้าย ๆ แบบนี้มาก่อนหลายครั้ง   ทั้งจากคนขี้เมาที่เข้ามาทักทายอย่างสนิทสนม  หรือไม่ก็คนสติไม่สมประกอบ ที่บังเอิญหลบหลีกไม่ทัน  จนต้องประจันหน้ากันในระยะประชิด  และฉันมักจะทำใจดีสู้เสือด้วยการยิ้มให้  ทั้งที่ความจริงกลัวแทบตาย  ตามมาด้วยการสนทนาแบบขาด ๆ เกิน ๆ ของคนสูญสติทั้งสองฝ่าย  และหลายครั้งลงท้ายด้วยการขอเงินจากอีกฝ่ายหนึ่ง

แม่อุ๊ยยิ้มตาหยี  ทำหน้าเหมือนคนคุ้นเคย แล้วยังเปิดฉากสนทนาอย่างกับรู้จักกันมาก่อนแสนนาน
"ไปกาดมาก๊ะ"   ฉันยิ้ม พยักหน้ารับ  งง ๆ  ถามกลับไปว่า
"แล้วแม่ไปไหนมา"
"กำลังจะปิ๊กบ้าน  ปู้น.."   แม่ชี้มือไปทางฝั่งแม่น้ำ  บอกว่าบ้านไปทางนั้น
"แม่จะ 80 แล้วนะ  บ่เคยเจ็บเคยไข้"   คำสนทนาเหมือนจะปักหลักคุยยาว  แขนขวายังคงพาดอยู่บนไม้คาน  ความระแวงของฉันยังกรุ่นอยู่ข้างใน  อุ๊ยจะเอาอะไรกันแน่...บ้าหรือเปล่า..หรือว่าเมา..ความคิดอกุศลแวบเข้ามาเป็นระลอก  ลอบสำรวจใบหน้าของอุ๊ย  รอยแป้งขาวจาง ๆ ประอยู่บนแก้มสองข้าง
"ถูกรถชนปีแล้วยังไม่ตายเลย.."   อุ๊ยพูดพลางหัวเราะหึ หึ  เหมือนขำตัวเอง จนฉันหัวเราะไปด้วย
"แม่อยู่กับใครล่ะ"  ฉันถามบ้าง
"อยู่คนเดียว  ผัวเจ๊กก็ตายไปแล้ว"    อ้อ..มีผัวเป็นเจ๊ก
"บ่มีลูกก๊ะ"
"มีคน"   หมายถึงมีคนเดียว
"มันอยู่กับผัวบ้านประตูม้า   บ่ไหว อีนี่เมาตึงวัน"  อุ๊ยนินทาลูกสาวต่อมาอีกหลายประโยค

ฉันเริ่มอึดอัดที่อุ๊ยไม่มีทีท่าว่าจะเลิกคุย  และยังไม่แสดงเจตน์จำนงค์ใด ๆ ทั้งสิ้น จึงตัดบทบอกว่า
"เจ้าจะไปแล้วหนา.."
"เออ ๆ  โชคดีเน้อ...เอานี่ไปกินบ่"   ประโยคหลัง อุ๊ยพูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้  ว่าแล้วก็ล้วงมือควานเข้าไปในกระบุง  ใต้ถุงคอบแคบที่เห็นกองสุมกันอยู่  หยิบถุงดอกอัญชันสีม่วงสดถุงย่อม ๆ ขึ้นมายื่นให้
"บ่เอาเจ้า  บ้านเจ้าก็มี  ยินดีเจ้า.."
"ก๊ะ..แล้วเลี้ยงไก่ก่อ?"
"บ่ได้เลี้ยงเจ้า"


"ก๊ะ  คิดว่าเลี้ยง  แม่จะเอาข้าวเปลือกหื้อ"   อุ๊ยมีทีท่าผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้ให้ของ  จิตอกุศลของฉันยังคิดเลยเถิดต่อไปอีกเหมือนนรกชุมนุม..  ถ้าให้แล้วก็คงจะบอกว่าขาย  หรือไม่ถ้ารับมาเราก็ต้องให้เงินอยู่ดีนั่นแหละ
"ยินดีจ้าดนักเจ้า"  ฉันยกมือไหว้เป็นการขอบคุณและตัดบทไปในตัว

ปิดประตูและล็อครถตามประสาคนเมืองขี้ระแวงแล้ว  ฉันเหลือบมองกระจก  เห็นอุ๊ยยังคงยืนเพ่งพินิจดูป้ายทะเบียนรถฉันอย่างจดจ่อ   ท่าทางอุ๊ยสนอกสนใจและมีสมาธิ ราวกับนักวิเคราะห์ตัวเลข  โดยไม่มีที่ท่าว่าจะเดินจากไป  แววตาเป็นประกายสุกใส มีความหวัง  พลันฉันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ 1   ทำให้อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้  เลขรถของฉันคงมีเสน่ห์ดึงดูดให้แม่อุ๊ยเข้ามาสนทนาด้วยเป็นแน่  และเสน่ห์นั้นคงมีมากเป็นพิเศษถึงขนาดที่แม่อุ๊ยอยากให้นั่นให้นี่กับเจ้าของรถ  หรือพูดอีกทีว่าเจ้าของตัวเลข  เมื่อคืนอุ๊ยอาจจะฝันเห็นเลขตัวนี้  หรือตัวเลขนี้อาจจะสอดคล้องกับอะไรบางอย่างที่อุ๊ยมีอยู่แล้วก็เป็นได้

ฉันเผลอถอนใจยาว...ความรู้สึกโล่งอก  ผ่อนคลาย เหมือนไขปริศนาบางอย่างได้  เหตุการณ์ไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่คิดระแวง   วันนี้พลาดอีกแล้วเรา...ช่างน่าเยาะหยัน   ดีนะที่ยังไม่ได้ทำหรือพูดอะไรโง่ ๆ ออกไป   สัญชาตญาณการปกป้องตัวเองทำให้เรามักระแวงไว้ก่อน ว่าคนอื่นจะเข้ามาทำร้าย หรือมาฉกชิง  มาเบียดเบียนเรา  มา"เอา"จากเรา  ดูเหมือนเราต่างก็พยายามรักษาเนื้อรักษาตัว ระแวดระวังกันมากยิ่ง ๆ ขึ้น  แน่ล่ะที่โลกอันวุ่นวาย สลับซับซ้อน และบางทีก็โหดร้ายเกินคาด ได้ก่อกำแพงแห่งความหวาดกลัว ทึบเทาขึ้นในใจเราทีละนิด ๆ  กระทั่งไม่อาจไว้วางใจใครได้เลย  แม้กระทั่งตัวเอง...

"สุข  แม่ชื่อสุข  เก็บผักบุ้งข้างวัดขาย.."  ประโยคสุดท้ายที่แม่ตะโกนบอกไล่หลังตอนฉันกำลังก้าวขึ้นรถ แว่วอยู่ในหู

แม่ช่างสุขสมชื่อจนน่าอิจฉา  แม้จะอยู่คนเดียว ชีวิตเหมือนโดดเดี่ยวลำเค็ญ  แต่ไม่เห็นแม่จะกังวลกับอะไร  แววตาสุกใสมีความหวังเหมือนเด็ก ๆ   ช่อดอกมะลิบนมุ่นมวยผม  ริ้วรอยแป้งประสีขาวบนแก้มเหี่ยว ๆ  บอกว่าแม่มีความสุขยิ่งกว่าใคร ๆ  แม่เหมือนอรหันต์เดินดิน ที่เทพองค์ไหนไม่รู้ส่งมาสั่งสอนมนุษย์เปลือกหนา  ขี้ระแวง  ช่างคิด  ช่างสงสัยและช่างจินตนาการอย่างฉันอีกครั้งหนึ่งแล้ว

บ่ายวันนี้ขอให้แม่โชคดีกับตัวเลขก็แล้วกัน  แม่จะได้สุขยิ่ง ๆ ขึ้น  ฉันแอบปันพรอยู่ในใจ







2 ความคิดเห็น:

  1. สัญชาตญาณของความระแวงสงสัยที่จริงมีไว้บ้างก็ดี แต่ทำไม๊ทำไมยิ่งโตขึ้น รู้จักคนมากขึ้น ความขี้ระแวงก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เมื่อวันก่อนออกไปวิ่งหลังหอ ก็เจอหนุ่มลำปางมาคุยด้วย ที่จริงเขาก็ดูเป็นมิตรดี แต่พอเจอคนมาคุยด้วยแบบจู่โจมก็เล่นเอากลัวเหมือนกัน ไม่กล้าลงไปวิ่งอีกเลย ทั้งๆที่เขาอาจจะไม่ได้คิดร้ายอะไรกับเราเลย -__-

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เป็นสาวเป็นนางก็ต้องระแวงขึ้นไปหลายเท่า น่าจะถูกต้องแล้วแหละ ถ้าแก่แล้วก็ว่าไปอย่าง :D

      ลบ