ฉันหิ้วถุงกับข้าวพะรุงพะรังเดินออกจากตลาด นึกโมโหตัวเองว่าลืมเอาตะกร้ากับข้าวใส่ท้ายรถไว้ (อีกแล้ว) ไม่อยากเพิ่มจำนวนถุงพลาสติก ที่มีอยู่แล้วมากมายมหาศาลในบ้านในครัว ให้มากขึ้นไปอีก แต่ฉันก็ยังลืมมันเกือบทุกครั้ง... ลืมได้ลืมดี ดังนั้น สิ่งที่พอทำได้ในแต่ละครั้งก็คือพยายามยัดกับข้าวหลากหลายชนิด ลงในถุงใบเดียวกันให้ได้มากที่สุด
วันนั้นจอดรถไกลจากตลาดไปราว 100 เมตร กำลังไขกุญแจเปิดประตูวางกับข้าว และกำลังจะปิดประตูรถ เสียงร้องทักที่ฉันฟังไม่ถนัดนักดังขึ้น ทำให้ชะงักและต้องหันไปมอง เสียงนั้นมาจากแม่อุ๊ยร่างผอมบางคนหนึ่ง สวมเสื้อแขนยาวสีหม้อฮ่อม ผ้าซิ่นพื้นเมืองลายขวางสีน้ำตาลสลับเหลือง เชิงซิ่นสีน้ำเงินจาง ทั้งเสื้อและซิ่นซีดเก่าจากการใช้งานมานาน ผมสีเทามุ่นมวยอยู่ข้างหลัง มีดอกมะลิที่เริ่มเหี่ยว เสียบอยู่ข้างมวยผมช่อหนึ่ง แม่อุ๊ยหาบกระบุงเล็ก ๆ สองข้าง
ฉันยิ้มให้ พลางชะโงกดูกระบุงของแม่อุ๊ย ในใจคิดว่าแกคงเรียกซื้อของ แต่กลับมองไม่เห็นของอะไรสักอย่าง มีแต่ถุงพลาสติกยับ ๆ ที่ใช้แล้ว ทับสุม ๆ กันอยู่ในกระบุง ความคิดด้านลบแวบเข้ามาจาง ๆ...จะขอเงินหรือเปล่านะ...เสื้อผ้ามอซอที่มองเห็น เข้ามาช่วยจัดฉากเป็นองค์ประกอบร่วม เสริมแต่งต่อยอดความคิดด้านลบ กับทั้งเคยมีประสบการณ์คล้าย ๆ แบบนี้มาก่อนหลายครั้ง ทั้งจากคนขี้เมาที่เข้ามาทักทายอย่างสนิทสนม หรือไม่ก็คนสติไม่สมประกอบ ที่บังเอิญหลบหลีกไม่ทัน จนต้องประจันหน้ากันในระยะประชิด และฉันมักจะทำใจดีสู้เสือด้วยการยิ้มให้ ทั้งที่ความจริงกลัวแทบตาย ตามมาด้วยการสนทนาแบบขาด ๆ เกิน ๆ ของคนสูญสติทั้งสองฝ่าย และหลายครั้งลงท้ายด้วยการขอเงินจากอีกฝ่ายหนึ่ง
แม่อุ๊ยยิ้มตาหยี ทำหน้าเหมือนคนคุ้นเคย แล้วยังเปิดฉากสนทนาอย่างกับรู้จักกันมาก่อนแสนนาน
"ไปกาดมาก๊ะ" ฉันยิ้ม พยักหน้ารับ งง ๆ ถามกลับไปว่า
"แล้วแม่ไปไหนมา"
"กำลังจะปิ๊กบ้าน ปู้น.." แม่ชี้มือไปทางฝั่งแม่น้ำ บอกว่าบ้านไปทางนั้น
"แม่จะ 80 แล้วนะ บ่เคยเจ็บเคยไข้" คำสนทนาเหมือนจะปักหลักคุยยาว แขนขวายังคงพาดอยู่บนไม้คาน ความระแวงของฉันยังกรุ่นอยู่ข้างใน อุ๊ยจะเอาอะไรกันแน่...บ้าหรือเปล่า..หรือว่าเมา..ความคิดอกุศลแวบเข้ามาเป็นระลอก ลอบสำรวจใบหน้าของอุ๊ย รอยแป้งขาวจาง ๆ ประอยู่บนแก้มสองข้าง
"ถูกรถชนปีแล้วยังไม่ตายเลย.." อุ๊ยพูดพลางหัวเราะหึ หึ เหมือนขำตัวเอง จนฉันหัวเราะไปด้วย
"แม่อยู่กับใครล่ะ" ฉันถามบ้าง
"อยู่คนเดียว ผัวเจ๊กก็ตายไปแล้ว" อ้อ..มีผัวเป็นเจ๊ก
"บ่มีลูกก๊ะ"
"มีคน" หมายถึงมีคนเดียว
"มันอยู่กับผัวบ้านประตูม้า บ่ไหว อีนี่เมาตึงวัน" อุ๊ยนินทาลูกสาวต่อมาอีกหลายประโยค
ฉันเริ่มอึดอัดที่อุ๊ยไม่มีทีท่าว่าจะเลิกคุย และยังไม่แสดงเจตน์จำนงค์ใด ๆ ทั้งสิ้น จึงตัดบทบอกว่า
"เจ้าจะไปแล้วหนา.."
"เออ ๆ โชคดีเน้อ...เอานี่ไปกินบ่" ประโยคหลัง อุ๊ยพูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ว่าแล้วก็ล้วงมือควานเข้าไปในกระบุง ใต้ถุงคอบแคบที่เห็นกองสุมกันอยู่ หยิบถุงดอกอัญชันสีม่วงสดถุงย่อม ๆ ขึ้นมายื่นให้
"บ่เอาเจ้า บ้านเจ้าก็มี ยินดีเจ้า.."
"ก๊ะ..แล้วเลี้ยงไก่ก่อ?"
"บ่ได้เลี้ยงเจ้า"
"ก๊ะ คิดว่าเลี้ยง แม่จะเอาข้าวเปลือกหื้อ" อุ๊ยมีทีท่าผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้ให้ของ จิตอกุศลของฉันยังคิดเลยเถิดต่อไปอีกเหมือนนรกชุมนุม.. ถ้าให้แล้วก็คงจะบอกว่าขาย หรือไม่ถ้ารับมาเราก็ต้องให้เงินอยู่ดีนั่นแหละ
"ยินดีจ้าดนักเจ้า" ฉันยกมือไหว้เป็นการขอบคุณและตัดบทไปในตัว
ปิดประตูและล็อครถตามประสาคนเมืองขี้ระแวงแล้ว ฉันเหลือบมองกระจก เห็นอุ๊ยยังคงยืนเพ่งพินิจดูป้ายทะเบียนรถฉันอย่างจดจ่อ ท่าทางอุ๊ยสนอกสนใจและมีสมาธิ ราวกับนักวิเคราะห์ตัวเลข โดยไม่มีที่ท่าว่าจะเดินจากไป แววตาเป็นประกายสุกใส มีความหวัง พลันฉันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ 1 ทำให้อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เลขรถของฉันคงมีเสน่ห์ดึงดูดให้แม่อุ๊ยเข้ามาสนทนาด้วยเป็นแน่ และเสน่ห์นั้นคงมีมากเป็นพิเศษถึงขนาดที่แม่อุ๊ยอยากให้นั่นให้นี่กับเจ้าของรถ หรือพูดอีกทีว่าเจ้าของตัวเลข เมื่อคืนอุ๊ยอาจจะฝันเห็นเลขตัวนี้ หรือตัวเลขนี้อาจจะสอดคล้องกับอะไรบางอย่างที่อุ๊ยมีอยู่แล้วก็เป็นได้
ฉันเผลอถอนใจยาว...ความรู้สึกโล่งอก ผ่อนคลาย เหมือนไขปริศนาบางอย่างได้ เหตุการณ์ไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่คิดระแวง วันนี้พลาดอีกแล้วเรา...ช่างน่าเยาะหยัน ดีนะที่ยังไม่ได้ทำหรือพูดอะไรโง่ ๆ ออกไป สัญชาตญาณการปกป้องตัวเองทำให้เรามักระแวงไว้ก่อน ว่าคนอื่นจะเข้ามาทำร้าย หรือมาฉกชิง มาเบียดเบียนเรา มา"เอา"จากเรา ดูเหมือนเราต่างก็พยายามรักษาเนื้อรักษาตัว ระแวดระวังกันมากยิ่ง ๆ ขึ้น แน่ล่ะที่โลกอันวุ่นวาย สลับซับซ้อน และบางทีก็โหดร้ายเกินคาด ได้ก่อกำแพงแห่งความหวาดกลัว ทึบเทาขึ้นในใจเราทีละนิด ๆ กระทั่งไม่อาจไว้วางใจใครได้เลย แม้กระทั่งตัวเอง...
"สุข แม่ชื่อสุข เก็บผักบุ้งข้างวัดขาย.." ประโยคสุดท้ายที่แม่ตะโกนบอกไล่หลังตอนฉันกำลังก้าวขึ้นรถ แว่วอยู่ในหู
แม่ช่างสุขสมชื่อจนน่าอิจฉา แม้จะอยู่คนเดียว ชีวิตเหมือนโดดเดี่ยวลำเค็ญ แต่ไม่เห็นแม่จะกังวลกับอะไร แววตาสุกใสมีความหวังเหมือนเด็ก ๆ ช่อดอกมะลิบนมุ่นมวยผม ริ้วรอยแป้งประสีขาวบนแก้มเหี่ยว ๆ บอกว่าแม่มีความสุขยิ่งกว่าใคร ๆ แม่เหมือนอรหันต์เดินดิน ที่เทพองค์ไหนไม่รู้ส่งมาสั่งสอนมนุษย์เปลือกหนา ขี้ระแวง ช่างคิด ช่างสงสัยและช่างจินตนาการอย่างฉันอีกครั้งหนึ่งแล้ว
บ่ายวันนี้ขอให้แม่โชคดีกับตัวเลขก็แล้วกัน แม่จะได้สุขยิ่ง ๆ ขึ้น ฉันแอบปันพรอยู่ในใจ
วันนั้นจอดรถไกลจากตลาดไปราว 100 เมตร กำลังไขกุญแจเปิดประตูวางกับข้าว และกำลังจะปิดประตูรถ เสียงร้องทักที่ฉันฟังไม่ถนัดนักดังขึ้น ทำให้ชะงักและต้องหันไปมอง เสียงนั้นมาจากแม่อุ๊ยร่างผอมบางคนหนึ่ง สวมเสื้อแขนยาวสีหม้อฮ่อม ผ้าซิ่นพื้นเมืองลายขวางสีน้ำตาลสลับเหลือง เชิงซิ่นสีน้ำเงินจาง ทั้งเสื้อและซิ่นซีดเก่าจากการใช้งานมานาน ผมสีเทามุ่นมวยอยู่ข้างหลัง มีดอกมะลิที่เริ่มเหี่ยว เสียบอยู่ข้างมวยผมช่อหนึ่ง แม่อุ๊ยหาบกระบุงเล็ก ๆ สองข้าง
ฉันยิ้มให้ พลางชะโงกดูกระบุงของแม่อุ๊ย ในใจคิดว่าแกคงเรียกซื้อของ แต่กลับมองไม่เห็นของอะไรสักอย่าง มีแต่ถุงพลาสติกยับ ๆ ที่ใช้แล้ว ทับสุม ๆ กันอยู่ในกระบุง ความคิดด้านลบแวบเข้ามาจาง ๆ...จะขอเงินหรือเปล่านะ...เสื้อผ้ามอซอที่มองเห็น เข้ามาช่วยจัดฉากเป็นองค์ประกอบร่วม เสริมแต่งต่อยอดความคิดด้านลบ กับทั้งเคยมีประสบการณ์คล้าย ๆ แบบนี้มาก่อนหลายครั้ง ทั้งจากคนขี้เมาที่เข้ามาทักทายอย่างสนิทสนม หรือไม่ก็คนสติไม่สมประกอบ ที่บังเอิญหลบหลีกไม่ทัน จนต้องประจันหน้ากันในระยะประชิด และฉันมักจะทำใจดีสู้เสือด้วยการยิ้มให้ ทั้งที่ความจริงกลัวแทบตาย ตามมาด้วยการสนทนาแบบขาด ๆ เกิน ๆ ของคนสูญสติทั้งสองฝ่าย และหลายครั้งลงท้ายด้วยการขอเงินจากอีกฝ่ายหนึ่ง
แม่อุ๊ยยิ้มตาหยี ทำหน้าเหมือนคนคุ้นเคย แล้วยังเปิดฉากสนทนาอย่างกับรู้จักกันมาก่อนแสนนาน
"ไปกาดมาก๊ะ" ฉันยิ้ม พยักหน้ารับ งง ๆ ถามกลับไปว่า
"แล้วแม่ไปไหนมา"
"กำลังจะปิ๊กบ้าน ปู้น.." แม่ชี้มือไปทางฝั่งแม่น้ำ บอกว่าบ้านไปทางนั้น
"แม่จะ 80 แล้วนะ บ่เคยเจ็บเคยไข้" คำสนทนาเหมือนจะปักหลักคุยยาว แขนขวายังคงพาดอยู่บนไม้คาน ความระแวงของฉันยังกรุ่นอยู่ข้างใน อุ๊ยจะเอาอะไรกันแน่...บ้าหรือเปล่า..หรือว่าเมา..ความคิดอกุศลแวบเข้ามาเป็นระลอก ลอบสำรวจใบหน้าของอุ๊ย รอยแป้งขาวจาง ๆ ประอยู่บนแก้มสองข้าง
"ถูกรถชนปีแล้วยังไม่ตายเลย.." อุ๊ยพูดพลางหัวเราะหึ หึ เหมือนขำตัวเอง จนฉันหัวเราะไปด้วย
"แม่อยู่กับใครล่ะ" ฉันถามบ้าง
"อยู่คนเดียว ผัวเจ๊กก็ตายไปแล้ว" อ้อ..มีผัวเป็นเจ๊ก
"บ่มีลูกก๊ะ"
"มีคน" หมายถึงมีคนเดียว
"มันอยู่กับผัวบ้านประตูม้า บ่ไหว อีนี่เมาตึงวัน" อุ๊ยนินทาลูกสาวต่อมาอีกหลายประโยค
ฉันเริ่มอึดอัดที่อุ๊ยไม่มีทีท่าว่าจะเลิกคุย และยังไม่แสดงเจตน์จำนงค์ใด ๆ ทั้งสิ้น จึงตัดบทบอกว่า
"เจ้าจะไปแล้วหนา.."
"เออ ๆ โชคดีเน้อ...เอานี่ไปกินบ่" ประโยคหลัง อุ๊ยพูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ว่าแล้วก็ล้วงมือควานเข้าไปในกระบุง ใต้ถุงคอบแคบที่เห็นกองสุมกันอยู่ หยิบถุงดอกอัญชันสีม่วงสดถุงย่อม ๆ ขึ้นมายื่นให้
"บ่เอาเจ้า บ้านเจ้าก็มี ยินดีเจ้า.."
"ก๊ะ..แล้วเลี้ยงไก่ก่อ?"
"บ่ได้เลี้ยงเจ้า"
"ก๊ะ คิดว่าเลี้ยง แม่จะเอาข้าวเปลือกหื้อ" อุ๊ยมีทีท่าผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้ให้ของ จิตอกุศลของฉันยังคิดเลยเถิดต่อไปอีกเหมือนนรกชุมนุม.. ถ้าให้แล้วก็คงจะบอกว่าขาย หรือไม่ถ้ารับมาเราก็ต้องให้เงินอยู่ดีนั่นแหละ
"ยินดีจ้าดนักเจ้า" ฉันยกมือไหว้เป็นการขอบคุณและตัดบทไปในตัว
ปิดประตูและล็อครถตามประสาคนเมืองขี้ระแวงแล้ว ฉันเหลือบมองกระจก เห็นอุ๊ยยังคงยืนเพ่งพินิจดูป้ายทะเบียนรถฉันอย่างจดจ่อ ท่าทางอุ๊ยสนอกสนใจและมีสมาธิ ราวกับนักวิเคราะห์ตัวเลข โดยไม่มีที่ท่าว่าจะเดินจากไป แววตาเป็นประกายสุกใส มีความหวัง พลันฉันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ 1 ทำให้อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เลขรถของฉันคงมีเสน่ห์ดึงดูดให้แม่อุ๊ยเข้ามาสนทนาด้วยเป็นแน่ และเสน่ห์นั้นคงมีมากเป็นพิเศษถึงขนาดที่แม่อุ๊ยอยากให้นั่นให้นี่กับเจ้าของรถ หรือพูดอีกทีว่าเจ้าของตัวเลข เมื่อคืนอุ๊ยอาจจะฝันเห็นเลขตัวนี้ หรือตัวเลขนี้อาจจะสอดคล้องกับอะไรบางอย่างที่อุ๊ยมีอยู่แล้วก็เป็นได้
ฉันเผลอถอนใจยาว...ความรู้สึกโล่งอก ผ่อนคลาย เหมือนไขปริศนาบางอย่างได้ เหตุการณ์ไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่คิดระแวง วันนี้พลาดอีกแล้วเรา...ช่างน่าเยาะหยัน ดีนะที่ยังไม่ได้ทำหรือพูดอะไรโง่ ๆ ออกไป สัญชาตญาณการปกป้องตัวเองทำให้เรามักระแวงไว้ก่อน ว่าคนอื่นจะเข้ามาทำร้าย หรือมาฉกชิง มาเบียดเบียนเรา มา"เอา"จากเรา ดูเหมือนเราต่างก็พยายามรักษาเนื้อรักษาตัว ระแวดระวังกันมากยิ่ง ๆ ขึ้น แน่ล่ะที่โลกอันวุ่นวาย สลับซับซ้อน และบางทีก็โหดร้ายเกินคาด ได้ก่อกำแพงแห่งความหวาดกลัว ทึบเทาขึ้นในใจเราทีละนิด ๆ กระทั่งไม่อาจไว้วางใจใครได้เลย แม้กระทั่งตัวเอง...
"สุข แม่ชื่อสุข เก็บผักบุ้งข้างวัดขาย.." ประโยคสุดท้ายที่แม่ตะโกนบอกไล่หลังตอนฉันกำลังก้าวขึ้นรถ แว่วอยู่ในหู
แม่ช่างสุขสมชื่อจนน่าอิจฉา แม้จะอยู่คนเดียว ชีวิตเหมือนโดดเดี่ยวลำเค็ญ แต่ไม่เห็นแม่จะกังวลกับอะไร แววตาสุกใสมีความหวังเหมือนเด็ก ๆ ช่อดอกมะลิบนมุ่นมวยผม ริ้วรอยแป้งประสีขาวบนแก้มเหี่ยว ๆ บอกว่าแม่มีความสุขยิ่งกว่าใคร ๆ แม่เหมือนอรหันต์เดินดิน ที่เทพองค์ไหนไม่รู้ส่งมาสั่งสอนมนุษย์เปลือกหนา ขี้ระแวง ช่างคิด ช่างสงสัยและช่างจินตนาการอย่างฉันอีกครั้งหนึ่งแล้ว
บ่ายวันนี้ขอให้แม่โชคดีกับตัวเลขก็แล้วกัน แม่จะได้สุขยิ่ง ๆ ขึ้น ฉันแอบปันพรอยู่ในใจ
สัญชาตญาณของความระแวงสงสัยที่จริงมีไว้บ้างก็ดี แต่ทำไม๊ทำไมยิ่งโตขึ้น รู้จักคนมากขึ้น ความขี้ระแวงก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เมื่อวันก่อนออกไปวิ่งหลังหอ ก็เจอหนุ่มลำปางมาคุยด้วย ที่จริงเขาก็ดูเป็นมิตรดี แต่พอเจอคนมาคุยด้วยแบบจู่โจมก็เล่นเอากลัวเหมือนกัน ไม่กล้าลงไปวิ่งอีกเลย ทั้งๆที่เขาอาจจะไม่ได้คิดร้ายอะไรกับเราเลย -__-
ตอบลบเป็นสาวเป็นนางก็ต้องระแวงขึ้นไปหลายเท่า น่าจะถูกต้องแล้วแหละ ถ้าแก่แล้วก็ว่าไปอย่าง :D
ลบ