วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

ปลวก









เงี่ยหูฟังเสียงปลวกกัดกินใบไม้ ที่พื้นกอไผ่
กัดแทะกันเป็นกระบวนการ
กัดไม่ปล่อย

ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยิน..

เพื่อนคนหนึ่ง บอกเคยขนหัวลุก นิ่งงัน
เมื่อได้ยินเสียงแบบนี้ หน้าตู้หนังสือ ยามดึก

ปลวก สัตว์มหัศจรรย์พันลึก
มากันเป็นกองทัพ  บุกรุกโจมตี แบบเงียบเชียบ
แนบเนียน...  ไม่ไว้หน้า

ก็กูจะกิน

เจอปลวกในบ้าน
ยามที่บ้านเมืองก็กำลังถูกปลวกนรก
กัดแทะจนแหว่งวิ่น












วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สงคราม






น้ำเต้าหู้เจ้าหนึ่ง จอดรถเข็นขายอยู่หน้าร้านก๋วยจั๊บ
ทั้งคู่ต่างก็เป็นเจ้าดัง  ขายดีกันทั้งคู่

ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมานานเนหลายปี

วันหนึ่งทะเลาะกันเรื่องอะไรไม่รู้
เจ้าน้ำเต้าหู้บอกไม่ส่ง ถ้าจะไปนั่งกินในร้านก๋วยจั๊บ
เธอหาโต๊ะพับได้ตัวเล็กๆ  2-3 ตัว มาตั้งข้างรถเข็นให้คนนั่งกินแทน

ร้านก๋วยจั๊บก็ประกาศไม่รับสั่งน้ำเต้าหู้ให้ลูกค้าของเธออีกต่อไป

ลูกค้าจับอารมณ์ความรู้สึกเป็นศํตรูกันได้
บรรยากาศที่ไม่เป็นมิตร มีผลต่อบรรยากาศการกินของลูกค้าอย่างแน่นอน

อาหารที่เคยอร่อย เมื่อผสมอารมณ์เกลียดชังลงไปด้วย
รสชาติดีๆ ก็หายไปได้เหมือนกัน

ยิ่งถ้าลุกลามเป็นการด่าทอกันข้ามหัวคน
ก็มีโอกาสจะเสียลูกค้าด้วยกันทั้งสองฝ่าย

เจ้าขายสลิ่ม ลอดช่อง  กับเจ้าขายน้ำเต้าหู้ในตลาดอีกแห่งหนึ่งก็ไม่ถูกกัน
ร้านอยู่ติดกัน ที่ทางมีจำกัด  จึงจำต้องตั้งโต๊ะติดกัน

คนกินได้รับการชี้เขตด้วยเชือกฟางที่ขึงขวางไว้
ห้ามรุกล้ำไปในแดนของอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาด

คับแคบเรื่องพื้นที่ ยังไม่เท่ากับใจที่คับแคบยิ่งกว่า

เวลาเรามองจากข้างนอก ด้วยสายตาของบุคคลที่สาม
ที่คิดว่าไม่มีผลประโยชน์ร่วมกับฝ่ายไหน
เราจะเห็นเส้นแบ่งนี้ชัดเจน แม้ไม่ได้ขึงเชือกแบ่งเขต

และบางครั้งก็อาจเผลอตัดสิน สรุปว่า
มันช่างไร้วุฒิภาวะกันเสียจริงๆ

แต่เมื่อใดที่เรากลายเป็นคู่กรณีไปเสียเอง
เราก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองฝุ่น
เราจะมองไม่เห็นอะไร
เพราะฝุ่นกำลังเข้าตา

ความเกลียดชังทำให้เกิดภาวะมืดบอด
หรือภาวะฝุ่นเข้าตา
ปวดแสบปวดร้อน

ความเกลียดชังคือสงคราม
ที่ยากจะจบลงอย่างสันติ


ความเกลียดชังทำให้คนชาติเดียวกันฆ่ากันตายเป็นเบือ
บางครั้งจบลงด้วยการแบ่งแยกประเทศ
แล้วยังตามล่าล้างผลาญกันต่อไม่เลิก
เป็นโศกนาฏกรรมร่วมกันของมนุษยชาติ

สงครามเกิดขึ้นทุกที่  ทุกหนทุกแห่ง
เกิดตั้งแต่ในบ้าน  ในครอบครัว จนถึงท้องถนน
เกิดในประเทศ  ต่างประเทศและลามไปทั่วทั้งโลก

ถ้าพูดแบบพระ
ต้องบอกว่าจุดเริ่มต้นของสงคราม
อยู่ภายในใจของเรานี่เอง..

จะแสวงหาความสงบก็ต้องเริ่มที่ใจของเรานี่แหละ
ดับไฟในใจให้ได้เสียก่อน

และนั่นคือสิ่งที่ยากทีสุด...


วันนี้ขณะที่นั่งทำงาน
เสียงดังนอกหน้าต่าง ..พั่บ  ๆ  ๆ  พั่บ ๆ ๆ .. ติดๆ กัน
นานจนต้องลุกไปดู

นกเขาสองตัว กำลังกางปีกจิกตีกันอยู่ที่ลานบ้าน ใต้ร่มไผ่
ไล่จิก ไล่ตี คุมเชิงกันไม่ยอมถอย
ท่าทางไม่มีใครยอมใคร

นาทีนั้นอดคิดไม่ได้ว่า
โชคดีนะที่เราได้เกิดมาเป็นคน
ยังทันรู้ว่าต้องดับไฟในใจให้ได้เสียก่อน

ถ้าเราเป็นนกเขาสองตัวนี้
จะต้องเกิดอีกกี่ชาติก็ไม่รู้กว่าจะได้เป็นคน
และกว่าจะได้รู้...









วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความตายพรากเราจากกันไกล








ปี 2555  น่าจะเป็นปีที่ได้หัวเราะ ฮ่าฮ่าฮ่า อย่างมีความสุข
ตามสัญญลักษณ์เลข 5 ที่คนไทยเอามาใช้แทนเสียงหัวเราะ

แต่กลับเป็นปีแห่งการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของฉัน

ฉันสูญเสียคนใกล้ชิดที่สุดในชีวิตไปถึงสองคน
ในเวลาห่างกันเพียงวันเดียว

คนหนึ่งเปรียบเหมือนแม่คนที่สอง
เป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ในชีวิต

อีกคนเป็นพี่สาวร่วมโลก  แม้ไม่ได้ร่วมสายเลือด
แต่ก็สนิทชิดเชื้อ รู้จักรู้ใจกันมายาวนานเกินกว่า 3 ทศวรรษ

ความตายพรากเราจากกันไกล
ทั้งที่ทำใจไว้ มาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว
ตั้งแต่ครั้งรู้ข่าวว่าทั้งคู่ล้มป่วย

เรานั่งอยู่หน้าห้องไอซียู รอเข้าเยี่ยมวันละสองรอบ
วันแล้ววันเล่า...
เป็นช่วงเวลาแห่งความอึดอัด ทรมาน

ใจของเราเล่นเอาล่อเอาเถิดกับความตายอย่างเหน็ดเหนื่อย
ต่อรองและแม้กระทั่งติดสินบนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เหมือนเล่นเกม ที่ผลัดกันแพ้ชนะกับโชคชะตาเป็นรายวัน
อยู่ยาวนานหลายเดือน..

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2555   พี่สาวจากไปตอนตีสอง
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2555  น้าจากไปตอนสองทุ่ม

เหตุการณ์เกิดขึ้นตรงหน้า ทุบหัวที่มึนงงให้แกว่งไปมา
ด้วยภาระหน้าที่มากมาย ที่ต้องจัดการต่อไป

เวลาผ่านไปแล้ว 1 ปีเต็ม...

ฉันพยายามเปิดลิ้นชักแห่งความทรงจำ
แต่พบว่าทุกอย่างยังคงผูกปม
พันกันยุ่งเหมือนเส้นด้ายอยู่ในนั้น
บางอย่างยากต่อการคลี่คลาย
และอาจต้องใช้เวลาทั้งหมดของชีวิต
กว่าจะเข้าใจทุกสิ่งได้ถี่ถ้วน

น้าจากไปแบบที่เจ้าตัวไม่คาดคิดว่าจะเป็นการป่วยครั้งสุดท้าย
จึงไม่ได้จัดการเรื่องใดๆทั้งสิ้น
ทิ้งปัญหามหึมาไว้ให้ผู้เกี่ยวข้องสะสาง

ท่ามกลางฝุ่นตลบของปัญหา
เราได้เห็นความเป็นมนุษย์ในแง่มุมที่ชัดเจนขึ้น

ตัวละครหลากหลายใบหน้า เปลี่ยนกันมาเข้าฉาก
ละครชีวิตฉากหนึ่งจบลง  ในขณะที่อีกฉากหนึ่งกำลังเริ่มต้น






ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน
ลอยมาเข้าหัวสมองของฉันตลอดเวลา
กระจ่างแจ้ง ชัดเจน ลึกเข้าไปในหัวใจ
กระทั่งทุกวันนี้..


"ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด"







วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ไผ่





บ้านเราปลูกไผ่หลากหลายพันธุ์
ตั้งชื่อเองว่าสวนไผ่เพียงดิน

ตอนที่ปู่ยังอยู่ เมื่อเห็นลูกหัวแข็ง ดื้อด้าน ดันทุรังจะปลูกต้นไผ่ในบ้านให้ได้
ปู่รีบถีบจักรยานจากสวนปู่ เพื่อมาบอกเคล็ดลับบางประการ
เพราะรู้ว่าห้ามมันไม่ได้แล้ว

เคล็ดของปู่คือ ตอนที่ขุดหลุมเตรียมปลูกไผ่
ให้หาก้อนหินมาก้อนหนึ่ง ใส่ลงไปที่ก้นหลุม ก่อนจะเอาไผ่ลงตาม
แล้วอธิษฐานว่า..
ตราบใดที่หินก้อนนี้ยังไม่แตกสลายกลายเป็นดิน
ก็ขอให้ผู้ปลูกมีอายุยืนยาวดั่งต้นไผ่...

ดังนั้นใครอยากอายุยืนมากก็หาหินก้อนใหญ่หน่อยก็แล้วกัน

คนโบราณไม่ชอบให้ปลูกไผ่ในบ้านด้วยเหตุผลหลายประการ

เพราะไผ่เป็นไม้ใหญ่ กอใหญ่
ย่อมแผ่ขยายรากไปรบกวนบ้านช่อง
ลำที่สูงยาวก็อาจจะโค่นโน้มลงเกะกะระราน

ส่วนใบเหลืองที่ร่วงหล่นจนเกือบหมดต้นในช่วงฤดูแล้ง
ก็เป็นเชื้อไฟอย่างดี




อีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่อยากให้ปลูกก็คือ
ไผ่มีอายุขัย

เมื่อถึงเวลาหมดอายุขัย ก็จะออกดอกสะพรั่งต้น
จากนั้นไม่นาน ไผ่ก็จะตายยกกอ

น่าใจหายนะ   หากไผ่ทั้งสวนของเราถึงอายุขัยพร้อมกัน
ชวนกันออกดอกสั่งลา
แล้วพากันแห้งเฉาไปทั้งสวน ทั้งบ้าน

แค่คิดก็ใจหายวาบ ๆ

แล้วคนก็จะเชื่อมโยงความตายนี้ไปถึงเจ้าของ
ตีความรหัสนัยแห่งธรรมชาติ ยึดโยงกับคนปลูก

อดคิดถึงวันเก่าๆนั้นขึ้นมาไม่ได้
ปู่กลัวลูกหัวดื้อมีอันเป็นไป  จึงรีบถีบรถเข้ามาหา
ทั้งที่ตอนนั้นปู่ไม่ค่อยแข็งแรงแล้ว
หลายครั้งที่ปู่ขี่รถไป ล้มไป เพราะแข้งขาอ่อน ไม่มีเรี่ยวแรง

ผ่านมาแล้ว 20 ปี พร้อมกับการจากไปของปู่
ไผ่บางกอเคยออกดอก  แต่ส่วนใหญ่ยังคงอยู่

เจ้าของพยายามยื้อชีวิตไผ่กอนี้ด้วยเทคนิคบางอย่าง
คือตัดลำไผ่ลงให้หมด เหลือตอสูงจากพื้นไม่มาก
จากนั้นก็กระหน่ำให้ปุ๋ยยูเรีย
ไม่นานไผ่ก็แทงหน่อ แตกยอดขึ้นมาให้ชื่นใจ

วิธีนี้ยื้อชีวิตไผ่กอนี้มาได้อีก 10 ปีทีเดียว
แต่ในที่สุดเขาก็จากไปอยู่ดี เพราะหมดอายุขัย

เมื่อรู้ว่าจะต้องจากไปแน่ ๆ แล้ว
ก็ทิ้งดอกลงสู่ดิน

รอน้ำฝน น้ำฟ้ามาชุบชูชีวิตใหม่
ก่อเกิดไผ่ต้นน้อยมากมาย ภายใต้ต้นแม่
เป็นตัวตายตัวแทน
ที่ทำให้โลกนี้ยังคงมีต้นไผ่

ธรรมชาติวางแผนของเขามาดีแล้ว

มนุษย์ต่างหากที่ยังต้องเรียนรู้อีกยาวไกล



วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

คนสาละวีก




ไม่มีใครไม่รู้จัก "แก้วโมโห"
ชื่อของหล่อนไปไกลเกินรัศมีหมู่บ้านหนองป่าครั่งนี่เสียอีก

เหตุที่แก้วโมโหมีคนรู้จักกว้างขวาง
ก็เพราะความเป็นคน "สาละวีก" ของหล่อนนั่นเอง

"รงค์ วงษ์สวรรค์" เคยให้นิยามคำว่า "สาละวีก"
ผ่านปากของน้อยแก้วใน "ขุนนางป่า" ไว้ว่า
"บ้า ๆ บอ ๆ  ไม่ครบสลึง ไม่ครบบาท"

แก้วโมโหก็เป็นคนอย่างนั้นแหละ

เมื่อหลายเดือนก่อน แก้วโมโหไปนอนเปลือยกายอยู่ใต้ต้นฉำฉา ริมทางหลวง
เดือดร้อนถึง "ตาเป็งผีกุ๋ม" ผัวของหล่อน
ที่ต้องมาลากมาดึง จับใส่เสื้อผ้าเป็นพัลวัน

แก้วโมโหมีผัวมาแล้วหลายคน ลูกก็คงจะหลายคน
ต่างกระจัดพลัดพรายกันไปคนละทิศละทาง
ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เพราะหล่อนมาจากหมู่บ้านอื่น

ส่วนตาเป็งผีกุ๋มก็เคยมีเมียมีลูกมาแล้วเหมือนกัน
เรื่องอย่างนี้ไม่มีใครถือ ยิ่งเป็นคนสาละวีกทั้งคู่

เรือนรักของทั้งสองเป็นกระท่อมมุงหลังคาสัปรังเค
ปลูกอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน

ที่ตรงนั้นเป็นที่สาธารณะ หลวงเป็นเจ้าของ เพราะติดกับลำเหมืองชลประทาน
อาศัยว่าเป็นบ้านนอกคอกนา  ห่างไกลจากในเมือง
พวกเขาจึงยังคงอาศัยอยู่ได้
กระท่อมน้อยมีไม้รวกเป็นรั้ว  หลังบ้านปลูกกล้วยอ้อย ตะไคร้อีก 1 กอ

ตาเป็ง  ที่จริงชื่อเป็งเฉย ๆ แต่เพราะคุ้มดีคุ้มร้าย เลยได้ชื่อต่อท้าย
ผีกุ๋ม ก็บอกอยู่แล้วว่าผีคุมหรือผีสิง

ตาเป็งมีอาชีพเป็นสัปเหร่อ  พอมีเงินมาให้เมียกินเหล้าไปวัน ๆ
ว่างเว้นจากการเป็นสัปเหร่อก็รับจ้างทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ
งานที่หาคนรับจ้างทำยาก อาทิ ขึ้นไปเก็บซากหนู หรือซากตุ๊กแกตายเน่าบนฝ้าเพดานบ้าน
งานขุดลอกท่อน้ำทิ้ง  หรืองานตักส้วม

ส่วนแก้วโมโห ชื่อก็บอกสรรพคุณของหล่อนอยู่ในตัว
ชาวบ้านมักมีสมญานามให้กัน
เป็นความคิดรวบยอดอันน่าทึ่งเกี่ยวกับคน ๆ นั้น

เมื่อเป็นสาวแก้วโมโหคงเป็นคนงามและช่างแต่งตัว
ทุกวันนี้ก็ยังเห็นเค้าความงามหลงเหลืออยู่  แม้อายุจะขึ้นเลข 5 มาหลายปีแล้ว

บางวันหล่อนแต้มสีปากแดงแช้ด  ใส่ต่างหูตุ้งติ้ง
ซิ่นดอกเสื้อดวงสีสด  ผมสั้นดัดเข้ารูปทันสมัย

แต่บางวันหล่อนก็ใส่ยกทรงสีขาวมอซอตัวเดียว (ยังนุ่งซิ่นอยู่)
เดินแอ่นหน้าแอ่นหลังอยู่กลางถนนตั้งแต่เช้าตรู่

ยังดีว่าหล่อนเป็นคนผอม นมต้มไม่ค่อยมี
จึงไม่ยั่วยุอารมณ์คนดูเท่าไร

หล่อนเป็นคนโมโหร้าย โดยเฉพาะกับตาเป็ง
ถ้าวันไหนหล่อนคิดว่าตาเป็งมุบมิบเงินไว้ ไม่ให้หล่อนเอาไปซื้อเหล้า
หล่อนจะอาละวาดบ้านแตก   และตาเป็งเป็นฝ่ายแพ้เสมอ

ตาเป็งเป็นคนตัวเล็ก ผอมบางยิ่งกว่าเมีย แต่ก็แกร่ง แข็งแรง
ขุดดินฟันหญ้า  ทำงานหนักได้สารพัด
แกตัดผมเกรียนเลยมองเห็นหูกาง
ตาโตดูตื่น ๆ ตลอดเวลา  กระนั้นก็มีแววซื่อ  บางคนว่าทึ่ม ไม่ทันคน

ตาเป็งสวมรองเท้าบู๊ทประจำกาย  แบกจอบพาดบ่า พร้อมลุยทุกที่
เดินอยู่ริมถนน   เดินลัดทุ่ง   เข้าไปถามหางานทำตามที่ต่าง ๆ
บางวันก็เคียงคู่ไปกับศรีภริยาแก้วโมโห
หยอกเอินกันไปเหมือนผัวหนุ่มเมียสาวยังไงยังงั้น

บ้านหนองป่าครั่ง เมื่อก่อนคงจะเลี้ยงครั่งกันมาก
เดี๋ยวนี้ยังพอมีร่องรอยเหลือนิดหน่อยจากต้นฉำฉาริมถนนไม่กี่ต้น

เดี๋ยวนี้คนทำนาน้อยลง เพราะไม่มีที่ดินเหลือ
พวกเขากลายเป็นแรงงานรับจ้าง
มีโรงงานทำเครื่องปั้นดินเผาอยู่รอบ ๆ หมู่บ้าน 2-3 โรง
สาวน้อยสาวใหญ่ ไปเป็นคนงานโรงถ้วยกันเกือบทั้งนั้น

ส่วนพวกผู้ชาย ถ้าไม่ทำงานโรงถ้วยก็ยังมีงานก่อสร้าง
เพราะพ่อกำนันเป็นผู้รับเหมาเสียเอง เรียกหาแรงงานจากลูกบ้านของตัวเองได้โดยง่าย

ระยะหลังๆ เริ่มมีคนภายนอกหมู่บ้าน เข้ามาถามหาซื้อที่ดิน
เมืองขยายออกมารอบนอกมากขึ้น
บางทีก็เป็นคนกรุงเทพฯ ที่หนีน้ำท่วมมาหาที่ดินสำรองไว้
หลายหมู่บ้านมีคนมากว้านซื้อเพื่อทำสวนยางพารา

บางคนตั้งใจมาอยู่จริงๆ
แต่บางคนที่มีเงินเย็นเหลือก็กะซื้อไว้เก็งกำไร

ล่าสุดมีชายสูงวัยจากที่อื่น  มาติดพันหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง
ไปๆมาๆหลายรอบ  กระทั่งวันหนึ่งก็มาสร้างบ้านหลังใหญ่อยู่ติดถนน

ชื่อจริงชื่ออะไรไม่รู้ แต่ใครๆเรียกเขาว่า ผอ.
คนรู้ข้อมูลบอกว่า เขาเคยเป็น ผอ.โรงเรียนบ้านนอกแห่งหนึ่ง
ทีี่่มีนักเรียนทั้งโรงเรียนไม่ถึง 10 คน เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่รอทางราชการมายุบ

ตอนนี้เกษียณแล้ว  เลยมาใช้ชีวิตบั้นปลายกับแม่หม้ายคนนี้
ส่วนลูกเมีย ผอ. ไม่มีใครพูดถึง

ผอ.คนนี้คงมีสตางค์บำเหน็จบำนาญโขอยู่ จึงมาสร้างบ้านหลังใหญ่โตอย่างนี้ได้
ถ้าไม่บอกก็คงไม่มีใครรู้ว่าแกเป็น ผอ.
เพราะชอบนุ่งกางเกงขาสั้นเก่าๆ  ไม่ใส่เสื้อ  พุงพลุ้ย
เดินไปเดินมา ทำโน่นทำนี่  ดูไม่มีสง่าราศีแบบพวกข้าราชการอื่นๆ
ที่ชอบใส่เสื้อซาฟารี  และชอบเข้าร้านคาราโอเกะ

เรื่องของเรื่องเกิดจากอีตา ผอ.นี่เป็นคนขยันเกินไป
หลังบ้านของแกเป็นถนนเส้นเล็กๆ  ที่คั่นระหว่างบ้านกับลำเหมืองชลประทาน

เป็นลำเหมืองเส้นเดียวกับที่่ตาเป็งและนางแก้วโมโห มาสร้างกระท่อมอยู่

คนเคยมีอำนาจอยู่ในโรงเรียน แม้จะมีครูลูกน้องแค่คนเดียว
กับเด็กนักเรียนอีก 6-7 คน  แต่ก็เป็นอำนาจที่ติดตัวมาจนคุ้นชิน

อีตา ผอ.จึงไม่คิดจะถามไถ่ใคร
แกจัดการล้อมรั้วบริเวณผืนดินข้างลำเหมือง เลยหลังบ้านแกออกไป
ซึ่งที่จริงเป็นที่สาธารณะ  อยู่ในความดูแลของสำนักงานชลประทาน

ตาแก่ ผอ.ทำกรงเลี้ยงเป็ด  เลี้ยงไก่  กว้างยาวไม่ต่ำกว่า 3 เมตรคูณ 9 เมตร
แบ่งส่วนปลูกผักอีกต่างหาก  ล้อมรั้วไม้ไผ่แน่นหนา
ครอบครองที่ดินสาธารณะอย่างภาคภูมิ

ที่สำคัญแกคงคิดว่ากำลังสร้างวีรกรรม
ทำตัวให้เป็นตัวอย่างแก่ชาวบ้าน ในเรื่องของการพึ่งตัวเองอยู่กระมัง
โดยไม่เคยสำเหนียกว่า  การพึ่งตัวเองแบบนี้
จะกลายเป็นความเห็นแก่ตัว  หรือการเอาเปรียบสังคมใดๆทั้งสิ้น

ที่สำคัญกรงไก่ของแกไปสร้างติดหัวสะพาน
ที่ชาวบ้านใช้สัญจรไปมา  ทำให้มองไม่เห็นรถที่วิ่งสวนมาอีกด้าน
จนทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนกันตรงจุดนั้นหลายครั้ง

ขี้เป็ดขี้ไก่ก็ไหลลงลำเหมืองสาธารณะที่ชาวบ้านใช้กันอยู่
คนเป็น ผอ. คิดเรื่องนี้ไม่ได้ แปลกจริง
ชาวบ้านส่วนหนึ่งจึงพากันไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน

ผู้ใหญ่บ้านซึ่งปกติเป็นคนไม่ค่อยพูด  และไม่ค่อยมีเรื่องราวอะไรในหมู่บ้านให้แก้ไข
งานนี้ก็ยิ่งพูดไม่ออก เพราะเจอ ผอ. หัวหมอที่ดูมีสถานภาพสูงกว่า
จึงต้องวิ่งไปยืมมือเจ้าหน้าที่ชลประทานให้มาพูดแทน

ผอ.หัวหมอไม่ยอมรับคำสั่งของเจ้าหน้าที่ชลประทาน
ที่ให้รื้อถอนกรงเป็ดกรงไก่ออกเสีย

เหตุผลของตาแก่ ผอ.ก็คือ
ถ้าจะไล่เขา ต้องไล่ตาเป็งผีกุ๋มกับนางแก้วโมโหให้ได้ก่อน
เพราะสร้างอยู่บนที่สาธารณะเหมือนกัน

เอาล่ะซี ตอนนี้ตาเป็งกับนางแก้วถูกจับเป็นตัวประกัน

เจอไม้นี้ทุกคนก็อึ้ง
เจ้าหน้าที่ชลประทานกลับไปแล้ว
ผู้ใหญ่บ้านสั่นหัว  ส่ายหน้า
ชาวบ้านงง
ตาเป็งกับนางแก้วไม่รู้เรื่องว่าเขาพาดพิงถึงตัวเอง

และกรงเป็ดกรงไก่ยังคงอยู่เย้ยยุทธจักร

สรุปแล้วไม่เฉพาะแต่ตาเป็งผีกุ๋มและนางแก้วโมโห
ตัวละครทั้งหมดในเรื่องนี้
ล้วนเป็นคนสาละวีก








วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แสดงงาน




จู่ ๆ ก็มีคนมาชวนให้ร่วมแสดงงานศิลปะ

ครั้งแรกในชีวิตเลยนะนี่

ความรู้สึกนึกสนุก ทำให้รับปากรับคำ
ทั้งที่ ทั้งความรู้และฝีมือมีเท่าหางอึ่ง
และมีแต่ตาและใจ ที่ชอบดูงานศิลปะของคนอื่นตลอดมา

หัวข้อเกี่ยวกับวันแม่
ที่ตอนหลังมาช่วยกันคิดจนได้ชื่อมาว่า  "จากสายเปลไกว..."

จัดแสดงที่หอศิลป์ลำปาง ระหว่างวันที่ 3-31 สิงหาคม 2556
หอศิลป์เล็ก ๆ (แต่งดงามและเปี่ยมพลัง) ของเอกชน
ที่ต้องขอบคุณตรงนี้อีกครั้ง ในจิตสาธารณะของเจ้าของ
คือมูลนิธินิยม ปัทมะเสวี









เดิมที ศิลปินแท้คนเริ่มความคิด ซึ่งจองคิวหอศิลป์มาข้ามปี
บอกว่าจะเป็นการแสดงงานของเพื่อนสองครอบครัว
คือครอบครัวเขา และครอบครัวเรา

แต่ไป ๆ มา ๆ  นอกจากพ่อแม่ลูกแล้วยังมีหลาน  เพื่อนของหลาน
เพื่อนของพ่อ น้องของพ่อ มาร่วมแจมอีก
จึงกลายเป็นงานสนุกสนานของพวกเราที่กลายเป็นครอบครัวใหญ่ขึ้นมาแทน

ฉันมีงานชิ้นหนึ่งทำไว้นานแล้ว
แขวนฝุ่นจับข้างฝาบ้านมาเป็นปี




คุณพ่อบ้านชี้ขาดว่า "ชิ้นนี้แหละ ๆ ๆ"
หลังจากฉันบอกจะขอสละสิทธิ์ เพราะคิดว่าไม่มีปัญญาเป็นศิลปินกับเขา
แรก ๆ ตอนตกปากรับคำรู้สึกสนุก แต่พอใกล้วันส่งงาน  ความจริงและความกลัวเริ่มปรากฏ
จึงจำเป็นต้องกินบุญเก่า

คิดถึงครั้งที่ลูกๆ จากบ้านไปร่ำเรียนห่างไกล
ฉันเก็บเสื้อผ้าเก่าของลูกที่โละ ๆ แล้วมาตัดปะเป็นเรื่องราว

กระโปรงดอกดวงของลูกสาว เสื้อเก่าของลูกชาย
รวมทั้งเสื้อสีอิฐของยาย ตั้งแต่ครั้งคุณยายยังสาว
ก็เอามาเย็บเป็นตัวผนังบ้าน

กลายเป็นภาพแทนใจ ไว้ดูเวลาคิดถึงลูก คิดถึงแม่

ส่วนอีก 2-3 ภาพที่เอาไป"โชว์"  (วาดจริง ๆ ราว 7-8 ภาพ)
วาดขึ้นสด ๆ ก่อนติดตั้งไม่เกิน 5 วัน
เป็นภาพผู้หญิงล้วน






ฉัน "สนุก" กับการวาดผู้หญิงพวกนี้อยู่ราว 2-3 วัน
คิดว่าเข้าใจลาง ๆ ถึง "อารมณ์ศิลปิน" แล้วล่ะ

ฉันใช้จานสีของลูก ที่ยังมีเนื้อสีแห้ง ๆ ติดอยู่ในช่องต่าง ๆ เยอะแยะ
ไม่รู้หรอกว่าสีอะไร เป็นอะไร
เพราะฉะนั้นจึงไม่มีคำอธิบายภาพว่าเป็นสีน้ำ  สีอะคริลิก ฯ
หรืออื่น ๆ เหมือนภาพอื่นเขา  เพราะไม่รู้ค่ะ
รู้แต่ว่าเป็นสีเหลือ

กระดาษที่วาดก็เป็นกระดาษไผ่ขนาดโปสการ์ด
เหลือจากการคัดส่งให้ลูกค้า  วางทิ้งๆ อยู่ตรงนั้นตรงนี้
เมื่อก่อนรู้สึกว่ากระดาษพวกนี้หนามาก จะเอาไปทำอะไรได้ ทำการ์ดก็ไม่สวย
แต่พอเอามาวาด  ทีนี้เลยเห็นช่องทางสนุกไปใหญ่

วิญญาณแม่ขี้เหนียวยังไม่หมด
ฉันไม่ยอมเอาภาพที่วาดไปใส่กรอบ
ประเมินแล้วหลายร้อยบาทแน่ ๆ
ฝีมือระดับเราจะต้องไปลงทุนอะไรขนาดนั้นเนอะ

นึกขึ้นได้ว่าตอนลูกเล็ก ๆ เรียนอยู่ชั้นประถม
ลูกเคยได้รางวัลโน่นนี่นั่นมากมาย
แรก ๆ ก็บ้าเห่อ เอาใบประกาศพวกนี้ไปใส่กรอบ ห้อยเต็มฝาบ้าน

นานวันเข้าเริ่มรู้สึกรก
จึงปลดลงมากอง ๆ รวมกัน ยังไม่รู้จะเอาไปไหน
คิดว่าถ้าพวกเขาโต มีบ้านของตัวเอง คงจะอยากกลับมาเก็บสมบัติเก่าพวกนี้ไปเก็บต่อ
จินตนาการไปแทน

ฉันไปรื้อกรอบจากกองพวกนี้แหละ
ลอกเทป  ถอนตะปู  เก็บใบประกาศของลูกรวม ๆ กันไว้ในถุง
ใส่รูปวาดของตัวเองไปแทน  มันช่างพอดี๊ พอดี

เป็นอันว่า ในส่วนของฉันไม่ต้องเสียเงินเลยสักบาท

ยังไงก็ขอบคุณอาจารย์สมพงษ์ ศิลปินตัวจริงที่ชักชวนไปร่วมสนุก
ขอบคุณหอศิลป์อีกครั้ง

ไม่ได้อยากเป็นศิลปิน เพราะรู้ว่ายากสำหรับตัวเอง
แต่สามวันที่ได้ "สนุก" กับการวาด ก็เป็นประสบการณ์ที่สุดคุ้มของฉัน

วันเปิดงาน พวกเรา 2-3-4 ครอบครัว แห่กันไปให้กำลังใจงานของตัวเอง
มีผู้คนเข้ามาดูงานกันมากมาย  ทั้งไทยทั้งเทศ  ลูกเด็กเล็กแดง
ที่ดีมาก ๆ คือเด็กนักเรียน วัยรุ่น ที่มากันเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ สนุกสนาน




บรรยากาศของกาดกองต้ากับหอศิลป์เป็นกันเองมาก ๆ
เพราะกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
บางคนยังเดินแทะลูกชิ้นปิ้งอย่างเอร็ดอร่อย ตอนที่ก้าวเท้าเข้าประตูมา
(แต่ตามระเบียบก็ห้ามนำน้ำ อาหารขึ้นไปในส่วนของการแสดงงานอยู่แล้ว)

บางคนอาจรู้สึกเหมือนบรรยากาศงานวัด
แต่ก็เป็นงานวัดที่คลาสสิคเอามาก ๆ

ลูกหลานคนหนึ่งพูดว่า
หอศิลป์ที่กรุงเทพฯยังไม่เคยมีคนเข้ามาดูงานมากขนาดนี้เลย
ขอบอก

























วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ผืนผ้าแห่งชีวิต







จักรซิงเกอร์หลังนี้อายุมากกว่าฉันราวปีสองปี

แม่เคยเล่าความหลังครั้งชีวิตยังอบอวลด้วยความรัก ช่วงแต่งงานใหม่ ๆ
จักรหลังนี้คล้าย ๆ จะเป็นของขวัญที่พ่อซื้อให้แม่หลังการแต่งงาน เพราะแม่อยากได้มาก

ราคาในยุคเมื่อ 60 ปีก่อนนั้น  3500  บาท
หากเอามาเทียบกับค่าของเงินในสมัยนี้  คูณด้วยสิบ จะได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้

นับว่าไฮโซเอาการ แม่ฉัน

ทั้งที่พ่อเป็นเพียงเสมียนตัวเล็ก ๆ ของบริษัทขนส่งทางรถไฟแห่งหนึ่ง
แม่ก็เป็นเพียงแม่ค้าขายข้าวแกง  ในร้านของพี่สาวที่ได้สัมปทานจากสถานีรถไฟ
ไม่เคยได้เงินเดือนจากพี่สาว
ได้เพียงกินอยู่ฟรี และทำงานให้อย่างหนักตลอดเวลาหลายปี

แม่เล่าว่า ป้าสัญญาว่าจะซื้อทองให้แม่เป็นค่าตอบแทน
แต่ก็ไม่เคยให้  เพราะป้าติดเล่นหวยจนงอมแงม
ขายของดีแค่ไหน ได้เงินมากแค่ไหนก็ไม่เคยมีเหลือ เพราะไปเสียกับการเล่นหวย
มีหนี้มีสินรุงรังจนกระทั่งเลิกกิจการไป

ความรักในการเย็บผ้า ตัดผ้าของแม่แท้ ๆ ที่ทำให้ใจกล้า คิดซื้อจักรแพง ๆ อย่างนี้
ทั้งที่ไม่มีโอกาสได้ร่ำเรียนการตัดเย็บจากสถาบันไหน
แต่แม่ก็ขวนขวายเรียนด้วยตัวเอง
จากหนังสือผู้หญิงที่มีในยุคสมัยนั้น เช่นแม่บ้านการเรือน  หรือศรีสัปดาห์

ฉันยังเก็บสมุดวาดแพทเทิร์นเล่มหนึ่งของแม่ไว้จนบัดนี้





แม่เรียนหนังสือแค่ชั้น ป.4  แต่ลายมือสวยอย่างน่าทึ่ง
เป็นลายมือตัวโต ๆ ที่มีเส้นมั่นคง สม่ำเสมอ
เวลาเขียน แม่ตั้งใจและมีสมาธิอย่างยิ่ง








น่าแปลกอีกอย่างที่แม่เป็นคนชอบเขียนบันทึก  ดูผิดวิสัยคนเรียนมาน้อย
ไปทำอะไร  ที่ไหน  เมื่อไร  แม่เขียนไว้หมด
ใครพูดอะไรที่กระทบกระเทือนใจ หรือประทับใจ ก็จะบันทึกไว้

แม้แต่ดูโทรทัศน์  ตอนไหนใครพูดอะไรที่โดนใจก็จะจดไว้หมด
กระดาษจดของแม่มีไปทั่ว  ตั้งแต่เศษกระดาษที่ใคร ๆ ทิ้ง
ขอบหนังสือพิมพ์ส่วนที่ว่างอยู่  กระดาษซองบุหรี่

เรียกว่ากระดาษอะไรก็ตามที่มีที่ว่างให้เขียนและอยู่ใกล้มือ  แม่คว้ามาเขียนได้ทั้งนั้น

หลังจากนั้นก็จะรวบรวมไปเขียนลงในสมุดบันทึกเล่มเล็กเล่มน้อยของแม่
ที่มีหลายเล่ม หลายขนาด ตามแต่จะมีใครให้มา

ในตะกร้าใบเล็ก ๆ ของแม่ ที่หิ้วขึ้นหิ้วลงจากบ้านชั้นล่างขึ้นชั้นบน หรือหิ้วไปไหนมาไหน
นอกจากจะเต็มไปด้วยยาดม ยาหม่อง  ยาหอม และสารพัดยาแล้ว
ก็จะต้องมีสมุดบันทึกและปากกาอยู่ด้วยเสมอ

ผลงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่แม่เรียนจากหนังสือ
ก็คือเสื้อผ้าของลูก ๆ
ทั้งชุดที่ใส่อยู่บ้านและเสื้อผ้าชุดนักเรียน  กระโปรง  กางเกง
ที่แม่ตั้งใจตัดให้ใหญ่เกินตัวไว้เสมอ

ฉันยังจำความรู้สึกอายเพื่อนได้
เมื่อต้องนุ่งกระโปรงยาวจนเกือบถึงตาตุ่มไปโรงเรียน
ดูเหมือนเราแทบจะไม่มีโอกาสได้ใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ที่พอดีตัวเลยสักครั้ง
มีแต่เสื้อผ้า "เผื่อโต" แทบทั้งสิ้น

เมื่อพวกเราโตขึ้นและแยกย้ายกันไปเรียนหนังสือไกลบ้าน ไกลจากแม่
แม่ก็ไม่มีโอกาสเย็บเสื้อผ้าให้พวกเราใส่อีก

จักรของแม่ถูกทิ้งว่างไม่ได้ใช้งานอยู่นานหลายปี
จนผ้าคลุมจักรดั้งเดิมสีน้ำตาล ลายดอกไม้คุ้นตาผืนนั้นเปื่อยขาดหมด
แต่แม่ก็ยังคงหยอดน้ำมันจักรของแม่อยู่ไม่ขาด

ครอบครัวเราย้ายบ้านหลายครั้งหลายหน
แต่ก็ยังขนจักรหลังนี้ไปด้วยทุกครั้ง
กระทั่งสุดท้าย  แม่ยกให้เป็นสมบัติของฉัน
จักรหลังนี้จึงได้ตามฉันมาอยู่ที่บ้านหลังปัจจุบัน

ฉันใช้จักรเย็บผ้า  หัดตัดเสื้อผ้า ซ่อมแซมอะไรต่อมิอะไรมากมาย
ใช้งานหนักจนรู้สึกสำนึกในบุญคุณ

มีคนแนะนำให้ซื้อมอเตอร์มาใส่ จะได้เย็บเร็วขึ้น
แต่ฉันอยากถีบจักรแบบเก่ามากกว่า
ไม่เห็นจำเป็นต้องเร็วอะไรกันนักหนา

แวบหนึ่ง  คิดถึงสิ่งที่มหาตมะคานธีเคยบอกว่า
เครื่องมือเครื่องใช้สมัยใหม่ที่ท่านยอมรับได้เพียงอย่างเดียวก็คือ จักรเย็บผ้า
แต่ถ้าคานธีรู้ว่าจักรเย็บผ้ายุคนี้พัฒนาไปไกลขนาดไหนแล้ว
ท่านจะยังยืนยันความคิดเดิมอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้...


วันหนึ่ง จักรของฉันมีอาการรวนเรบางอย่าง
จนต้องไปตามหาช่างมาซ่อม

ช่างที่มาซ่อมให้ เป็นช่างประจำร้านซิงเกอร์ ชื่อช่างปรีชา
ช่างบอกฉันเมื่อซ่อมเสร็จแล้วว่า

"รักษาจักรหลังนี้ให้ดีนะครับ เป็นของแท้
กระสวยนี่ก็เป็นของแท้ ติดมากับจักร"

จักรหลังนี้เป็นจักรที่นำเข้าจากอังกฤษ
เขาบอกให้ฉันดูสัญญลักษณ์บางอย่าง บางที่ที่ฉันไม่เคยสนใจสังเกตมาก่อน




ของแท้นี่เองจึงราคาสูง และใช้งานได้ดี ทานทน ทนทานมาจนทุกวันนี้
หลังจากช่างเปลี่ยนอะไหล่บางตัวที่เสื่อมทรุดไปตามกาลเวลา
จักรหลังนี้ก็กลับมาใช้งานได้ดีเหมือนเดิม

แม้ลวดลายบางส่วนหลุดลอก
พื้นโลหะบางที่ที่ใช้งานบ่อยถลอกปอกเปิก
พื้นไม้บางส่วนมีรอยขีดข่วนจากการใช้งาน
และฝาผนังบางส่วนเริ่มเคลื่อนตัวแยกออกจากรอยเดิม

แต่แก่นแท้  คือโครงสร้าง และชิ้นส่วนสำคัญของจักรยังดีอยู่
จนนึกอยากติดทองคำเปลวตรงไหนสักที่ เป็นการคารวะ

ฉันเคยซื้อจักรอีกหลังหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้
ด้วยความคิดที่อยากทนุถนอมจักรหลังเก่า ไม่อยากให้ใช้งานหนักมาก
จะได้อยู่ด้วยกันนานๆ

จักรใหม่ตรานกหรือตาปลาอะไรสักอย่าง  เมดอินไชน่า
ราคาแค่สองพันบาท  เห็นแก่ของถูก
ซื้อมาแล้วก็เหมือนโยนเงินทิ้ง เพราะเป็นจักรที่ห่วยแตก (ทั้งที่ทดลองเย็บดูที่ร้าน ก็ดูดี)
แทบอยากยกไปคืนเจ๊เจ้าของร้าน   แต่รู้ว่าไม่มีทาง
ของถูกจึงกลายเป็นของแพงอย่างยิ่ง

ไป ๆมา ๆ ฉันก็ต้องกลับมาใช้จักรเก่า ที่ดีงามเสมอต้นเสมอปลาย
จักรใหม่ที่ใช้ไม่กี่ครั้ง กลายเป็นขยะ  เป็นของรกบ้าน
หากจะมีราคาอยู่บ้างก็ตรงที่จะถูกแยกส่วน เอาขาจักรออกมาทำเป็นขาโต๊ะ

จักรสองหลังทำให้คิดเรื่องของแท้ ของเทียม ไปได้อีกยาวไกล


วันหนึ่ง ฉันไปตามช่างปรีชาที่ร้านเดิม
คิดว่าจะวานช่างมาช่วยล้างเครื่องข้างในให้ใหม่หมดจดอีกสักรอบ

พนักงานที่ร้านบอกข่าวว่า
"ช่างปรีชาเสียไปหลายเดือนแล้วครับ"

ใจหาย...
เหมือนช่างเพิ่งบอกฉันเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง..
ว่ารักษาจักรหลังนี้ให้ดีนะครับ

ผืนผ้าแห่งชีวิตของเราแต่ละคน กว้างใหญ่ และสั้นยาวไม่เท่ากัน
เรื่องราวบนผืนผ้าล้วนแตกต่าง  อยู่ที่ตัวเราจะเป็นผู้กำหนดลวดลายและสีสัน

ฝีจักรที่เหยียบย่ำไปบนผืนผ้า  ตอกย้ำเรื่องราวที่เราเองเป็นผู้กำหนด  ผืนแล้วผืนเล่า
บางผืนมีความงดงาม  ความสุข และรอยยิ้มจากการเย็บ
บางผืนอาจปวดร้าว ขมขื่น ที่เกิดจากเหตุไม่คาดคิดอันหลากหลาย


วันนี้ช่างปรีชาเลือกที่จะหยุดเย็บไปก่อนแล้ว

จักรหลังเก่าของคนสองรุ่นยังคงนิ่งสงบอยู่ที่ริมหน้าต่าง
รอให้เจ้าของจักรเข้าไปใช้งาน ตกแต่งผืนผ้าของตัวเองต่อไป

ฉันหวนนึกเห็นภาพตัวเองนุ่งกระโปรงนักเรียนยาวถึงตาตุ่ม
น้องชายใส่กางเกงตัวโคร่ง เอวสูง
เป็นภาพอดีตที่ทำให้ยิ้มกับตัวเองได้ทุกครั้ง  แม้ลึก ๆ น้ำตาจะเอ่อล้นอยู่ภายใน

วันนี้...ผืนผ้าแห่งชีวิตของฉัน ยังคงถักทอทำงาน
ท่ามกลางความผันแปร  ซับซ้อนที่ยากจะรู้ว่าสิ่งใดแท้ สิ่งใดเทียม

คิดถึงแม่และความรักของแม่ที่มีให้ลูกอย่างไม่มีข้อจำกัด
ของแท้ที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ

และคิดถึงคำพูดของช่างที่บอกว่า
รักษาจักรหลังนี้ให้ดีนะครับ...