วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แสดงงาน




จู่ ๆ ก็มีคนมาชวนให้ร่วมแสดงงานศิลปะ

ครั้งแรกในชีวิตเลยนะนี่

ความรู้สึกนึกสนุก ทำให้รับปากรับคำ
ทั้งที่ ทั้งความรู้และฝีมือมีเท่าหางอึ่ง
และมีแต่ตาและใจ ที่ชอบดูงานศิลปะของคนอื่นตลอดมา

หัวข้อเกี่ยวกับวันแม่
ที่ตอนหลังมาช่วยกันคิดจนได้ชื่อมาว่า  "จากสายเปลไกว..."

จัดแสดงที่หอศิลป์ลำปาง ระหว่างวันที่ 3-31 สิงหาคม 2556
หอศิลป์เล็ก ๆ (แต่งดงามและเปี่ยมพลัง) ของเอกชน
ที่ต้องขอบคุณตรงนี้อีกครั้ง ในจิตสาธารณะของเจ้าของ
คือมูลนิธินิยม ปัทมะเสวี









เดิมที ศิลปินแท้คนเริ่มความคิด ซึ่งจองคิวหอศิลป์มาข้ามปี
บอกว่าจะเป็นการแสดงงานของเพื่อนสองครอบครัว
คือครอบครัวเขา และครอบครัวเรา

แต่ไป ๆ มา ๆ  นอกจากพ่อแม่ลูกแล้วยังมีหลาน  เพื่อนของหลาน
เพื่อนของพ่อ น้องของพ่อ มาร่วมแจมอีก
จึงกลายเป็นงานสนุกสนานของพวกเราที่กลายเป็นครอบครัวใหญ่ขึ้นมาแทน

ฉันมีงานชิ้นหนึ่งทำไว้นานแล้ว
แขวนฝุ่นจับข้างฝาบ้านมาเป็นปี




คุณพ่อบ้านชี้ขาดว่า "ชิ้นนี้แหละ ๆ ๆ"
หลังจากฉันบอกจะขอสละสิทธิ์ เพราะคิดว่าไม่มีปัญญาเป็นศิลปินกับเขา
แรก ๆ ตอนตกปากรับคำรู้สึกสนุก แต่พอใกล้วันส่งงาน  ความจริงและความกลัวเริ่มปรากฏ
จึงจำเป็นต้องกินบุญเก่า

คิดถึงครั้งที่ลูกๆ จากบ้านไปร่ำเรียนห่างไกล
ฉันเก็บเสื้อผ้าเก่าของลูกที่โละ ๆ แล้วมาตัดปะเป็นเรื่องราว

กระโปรงดอกดวงของลูกสาว เสื้อเก่าของลูกชาย
รวมทั้งเสื้อสีอิฐของยาย ตั้งแต่ครั้งคุณยายยังสาว
ก็เอามาเย็บเป็นตัวผนังบ้าน

กลายเป็นภาพแทนใจ ไว้ดูเวลาคิดถึงลูก คิดถึงแม่

ส่วนอีก 2-3 ภาพที่เอาไป"โชว์"  (วาดจริง ๆ ราว 7-8 ภาพ)
วาดขึ้นสด ๆ ก่อนติดตั้งไม่เกิน 5 วัน
เป็นภาพผู้หญิงล้วน






ฉัน "สนุก" กับการวาดผู้หญิงพวกนี้อยู่ราว 2-3 วัน
คิดว่าเข้าใจลาง ๆ ถึง "อารมณ์ศิลปิน" แล้วล่ะ

ฉันใช้จานสีของลูก ที่ยังมีเนื้อสีแห้ง ๆ ติดอยู่ในช่องต่าง ๆ เยอะแยะ
ไม่รู้หรอกว่าสีอะไร เป็นอะไร
เพราะฉะนั้นจึงไม่มีคำอธิบายภาพว่าเป็นสีน้ำ  สีอะคริลิก ฯ
หรืออื่น ๆ เหมือนภาพอื่นเขา  เพราะไม่รู้ค่ะ
รู้แต่ว่าเป็นสีเหลือ

กระดาษที่วาดก็เป็นกระดาษไผ่ขนาดโปสการ์ด
เหลือจากการคัดส่งให้ลูกค้า  วางทิ้งๆ อยู่ตรงนั้นตรงนี้
เมื่อก่อนรู้สึกว่ากระดาษพวกนี้หนามาก จะเอาไปทำอะไรได้ ทำการ์ดก็ไม่สวย
แต่พอเอามาวาด  ทีนี้เลยเห็นช่องทางสนุกไปใหญ่

วิญญาณแม่ขี้เหนียวยังไม่หมด
ฉันไม่ยอมเอาภาพที่วาดไปใส่กรอบ
ประเมินแล้วหลายร้อยบาทแน่ ๆ
ฝีมือระดับเราจะต้องไปลงทุนอะไรขนาดนั้นเนอะ

นึกขึ้นได้ว่าตอนลูกเล็ก ๆ เรียนอยู่ชั้นประถม
ลูกเคยได้รางวัลโน่นนี่นั่นมากมาย
แรก ๆ ก็บ้าเห่อ เอาใบประกาศพวกนี้ไปใส่กรอบ ห้อยเต็มฝาบ้าน

นานวันเข้าเริ่มรู้สึกรก
จึงปลดลงมากอง ๆ รวมกัน ยังไม่รู้จะเอาไปไหน
คิดว่าถ้าพวกเขาโต มีบ้านของตัวเอง คงจะอยากกลับมาเก็บสมบัติเก่าพวกนี้ไปเก็บต่อ
จินตนาการไปแทน

ฉันไปรื้อกรอบจากกองพวกนี้แหละ
ลอกเทป  ถอนตะปู  เก็บใบประกาศของลูกรวม ๆ กันไว้ในถุง
ใส่รูปวาดของตัวเองไปแทน  มันช่างพอดี๊ พอดี

เป็นอันว่า ในส่วนของฉันไม่ต้องเสียเงินเลยสักบาท

ยังไงก็ขอบคุณอาจารย์สมพงษ์ ศิลปินตัวจริงที่ชักชวนไปร่วมสนุก
ขอบคุณหอศิลป์อีกครั้ง

ไม่ได้อยากเป็นศิลปิน เพราะรู้ว่ายากสำหรับตัวเอง
แต่สามวันที่ได้ "สนุก" กับการวาด ก็เป็นประสบการณ์ที่สุดคุ้มของฉัน

วันเปิดงาน พวกเรา 2-3-4 ครอบครัว แห่กันไปให้กำลังใจงานของตัวเอง
มีผู้คนเข้ามาดูงานกันมากมาย  ทั้งไทยทั้งเทศ  ลูกเด็กเล็กแดง
ที่ดีมาก ๆ คือเด็กนักเรียน วัยรุ่น ที่มากันเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ สนุกสนาน




บรรยากาศของกาดกองต้ากับหอศิลป์เป็นกันเองมาก ๆ
เพราะกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
บางคนยังเดินแทะลูกชิ้นปิ้งอย่างเอร็ดอร่อย ตอนที่ก้าวเท้าเข้าประตูมา
(แต่ตามระเบียบก็ห้ามนำน้ำ อาหารขึ้นไปในส่วนของการแสดงงานอยู่แล้ว)

บางคนอาจรู้สึกเหมือนบรรยากาศงานวัด
แต่ก็เป็นงานวัดที่คลาสสิคเอามาก ๆ

ลูกหลานคนหนึ่งพูดว่า
หอศิลป์ที่กรุงเทพฯยังไม่เคยมีคนเข้ามาดูงานมากขนาดนี้เลย
ขอบอก

























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น