หลายวันก่อน มีโอกาสได้คุยกับน้องชายคนหนึ่ง ที่ศึกษาธรรมะมาพอควร
น้องพูดถึงภาวะของคนใกล้ตาย
ว่าจะมีสัมผัสพิเศษ รับรู้พลังบางอย่างที่คนธรรมดารับรู้ไม่ได้
และหากจิตยังพอมีพลัง ถ้าได้ฟังธรรมในนาทีนั้น
ก็อาจบรรลุธรรมได้
แต่ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าไม่ใช่คนที่ปฏิบัติภาวนามาจนถึงระดับ
ก็มักจะตกลงไปข้างล่าง
"ข้างล่าง"ก็คือภพภูมิที่ยังต้องไปชดใช้กรรม
หัวข้อสนทนาในวันนั้นเกาะเกี่ยววนเวียนอยู่ในใจฉัน
จนเมื่อกลับมาบ้าน ต้องมารื้อตู้หนังสือ
หยิบ "พุทธธรรม" ของท่านปยุต ปยุตโต ที่ถูกปลวกแทะขอบๆเล่มไปบางส่วน
ขึ้นมาพยายามอ่านใหม่
รวมทั้งหนังสือของท่านปราโมทย์ ปราโมชโช ที่เคยอ่านมาแล้วอีก 2-3 เล่ม
แค่เรื่องขันธ์ 5 ก็ทำให้ฉันนอนไม่หลับไปค่อนคืน
น้องชายคนนี้เอง
ในวันที่เขาอุตส่าห์ขับรถข้ามจังหวัด เพื่อมาเคารพศพแม่
ระหว่างที่นั่งรอพิธีกรรม เขาถามฉันว่า
"พี่ร้องไห้ไหม"
ฉันส่ายหน้า ตอบสั้นๆว่า "ยัง"
เป็นคำตอบที่"เผื่อ"ไว้ให้ตัวเองแล้ว
เขายกนิ้วโป้งแทนคำตอบ
ฉันเป็นลูกคนเดียวที่ไม่ได้เห็นใจแม่ในนาทีสุดท้าย
รู้ดีว่าน้องๆต้องว่ายข้ามทะเลน้ำตา ฝ่าคลื่นมรสุมไปด้วยกัน
หนักหนาสาหัสเพียงใด
ฉันเหมือนยืนอยู่อีกฟากฝั่งของมหาสมุทร
แม้จะสั่นสะเทือนไม่แพ้กัน แต่ก็ยังไม่ถูกไล่ล่าด้วยมรสุมลูกใหญ่
เหมือนคนอีกฟากฝั่ง
นาทีนั้นเป็นช่วงชีวิตที่ชุลมุนยิ่งของฉันกับภารกิจตรงหน้า
ฟากหนึ่งคือลูกที่กำลังจะต้องเดินทางไกลข้ามทวีป
เพื่อไปทำหน้าที่ของเขา
อีกฟากหนึ่งคือแม่ ที่ก็กำลังจะเดินทางไกล
ข้ามภพข้ามชาติ..
ทั้งการเกิดและการตายอยู่ใกล้กันจนเหมือนลมหายใจเข้าและออก
ฉันผ่านนาทีนั้นมาด้วยความนิ่งงัน
ไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยด
ไม่ได้คิดว่าตัวเองเข้มแข็งหรือสอบผ่านวิชาใดๆเลย
ไม่ได้ต้องการท้าทายใครทั้งสิ้น
ฉันก็มีบ่อน้ำตาเหมือนคนอื่นๆ
ซุกซ่อนอยู่ข้างใน
วันนี้ ฉันเพียงแต่เฝ้าดูความนิ่งงันของตัวเอง
ว่ามันจะนำฉันไปที่ใด
เราต่างก็กำลังเดินทางไกลด้วยกันทั้งนั้นมิใช่หรือ?
และหนทางนั้นคงไม่ได้ราบรื่นอะไรนัก
ฉันถามตัวเองทุกวันเมื่อตื่นลืมตา
ว่าวันนี้เตรียมเสบียงไปถึงไหนแล้ว?