* หมายเหตุ... เรื่องนี้เคยส่งไปให้นิตยสารการเมืองฉบับหนึ่งพิจารณา แต่ไม่ผ่าน
การพิมพ์ครั้งนี้ ได้แก้ไข ตัดทอน ตัดทิ้ง และเปลี่ยนแปลงเนื้อหาบางส่วน
(ไม่รู้เหมือนกันว่าบอกทำไม ถึงไม่บอกมันก็เป็นเรื่องของผู้เขียน ไม่เกี่ยวกับใครอยู่แล้วค่ะ)
ไอ้ห้าร้อยอยู่กับเรามาสามเดือนเต็ม ก็สิ้นบุญสิ้นกรรมต่อกัน
ฉันเรียกมันว่า "ไอ้ห้าร้อย" เพราะพวกมันมีห้าร้อยตัว
และเราเริ่มต้นลงทุนไปกับพวกมันห้าร้อยบาท
พวกมันอยู่ในสระอย่างมีความสุข
ประเมินจากอาการแหวกว่ายกันอย่างเริงร่า
บางครั้งก็กระโจนพรวดสวนกันไปมา บางทีไปไกลเกือบครึ่งสระ
เหมือนกำลังฝึกซ้อมกีฬากระโดดไกล หรือโปโลน้ำ เตรียมไปแข่งขันที่ไหนสักแห่ง
และบางวันที่น้ำในสระขึ้นสูงมาก เช่นฝนตกหนักไม่ยอมหยุด
พวกมันบางตัวก็กระโดดออกมานอนกระแด่ว ๆ บนพื้นหญ้าข้างนอก
อาจเป็นเพราะประเมินระยะไกลไม่ถูก
ถ้าไม่มีใครเห็นและจับโยนลงสระคืนให้ ก็คงต้องนอนแห้งตายแหงแก๋อยู่ตรงนั้น
วันแรกที่ซื้อพวกมันมา
ฉันโยนถุงที่ใส่พวกมันลงสระ
ปล่อยให้ถุงอัดอากาศพองลมใบใหญ่ ลอยตุ๊บป่องอยู่ในน้ำเพื่อปรับอุณหภูมิ
ตามที่ผู้เชี่ยวชาญบอก
แล้วจึงค่อยเปิดปากถุง ปล่อยพวกมันลงไปสัมผัสน้ำจริงในสระ
ด้วยความยาวของช่วงตัว เพียง 1 นิ้วเศษ ๆ
เมื่อปล่อยออกจากถุง พวกมันทั้งห้าร้อยจึงหายวาบไปกับตา
"ควรซื้อพวกมันมาเพิ่ม" คุณพ่อบ้านเสนอแนะ
เพื่อให้สมดุลกับขนาดของบ่อหรือสระของเรา
เดชะบุญที่ฉันไปเสีัยอารมณ์กับ "มิสเตอร์บีน" คนขายลูกปลาเสียก่อน
ที่เสียสัจจะการนัดหมายไปถึง 4-5 รอบ
ทั้งที่รับคำ "ครับ ๆ ๆ.." ทางโทรศัพท์อย่างพินอบพิเทา เป็นมั่นเป็นเหมาะ
แต่ไม่เคยมาตามนัดเลยสักครั้ง
ฉันจึงตัดสัมพันธ์อย่้างไม่ไยดี
แม้จะยังจดจำหน้าตาบ้องแบ๊วของเขาได้อยู่เสมอ
และแอบตั้งชื่อให้ใหม่
ทั้งที่เขามีชื่อเดิมเป็นภาษาคำเมืองอันแสนไพเราะว่า นายสมโล่
ไอ้ห้าร้อยจึงยังคงเป็นไอ้ห้าร้อย
ไม่ได้เป็นไอ้พันห้า หรือไอ้สองพัน อย่างที่ตั้งใจ
มีคนถามว่า คิดยังไงจึงมาเลี้ยงไอ้ห้าร้อยพวกนี้
ยังไม่เข็ดอีกหรือ จากการเลี้ยงไก่เต็มบ้านนับร้อยตัวเมื่อหลายปีก่อน
ก่อนเกิดวิกฤติไข้หวัดนกลามไปทั่วโลก
และกระบวนการเลี้ยงไก่ก็จบลงอย่างไม่เป็นท่า
ขายไก่ได้ทั้งหมดทั้งสิ้นแค่ 250 บาท ฟังดูน่าเวทนาจับใจ
เออนะ..มันก็คงจะยังไม่เข็ด
คนเรานี่อยู่ที่ความคิดจริง ๆ..
คิดง่าย ๆ ว่าลงทุนน้อย พื้นที่เราก็ทิ้งว่างอยู่เฉย ๆ
ฝันหวานว่ามันจะเป็นงานอดิเรกที่สามารถเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง
และคิดว่าไม่ต้องใส่ใจดูแลมันมาก เลี้ยงๆ ไป เดี๋ยวมันก็โตเอง
แต่โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาโดยง่ายเลยสักอย่าง
พวกคิดอะไรง่าย ๆ จึงมักจะต้องจบลงอย่างง่าย ๆ เหมือนกัน
เมื่อโยนพวกมันลงน้ำแล้วใช่ว่าจะโตเองได้โดยอัตโนมัติ
ต้องให้อาหาร ต้องลงทุน
คนสมัยก่อน สมัยที่ยังไม่มีอาหารสำเร็จรูปขาย
เลี้ยงพวกมันด้วยเศษอาหาร ไส้ไก่ เครื่องในสัตว์ราคาถูก
เอามาสับ ๆๆ โยนลงไปให้พวกมันกินกัน
บางทีก็เป็นเศษข้า่ว เป็นแกลบหรือรำ ตามแต่สภาพของท้องถิ่น
บางคนยังบอกว่าแม้แต่กล้วยน้ำว้ามันก็กิน
แต่ฉันลองแล้ว ไม่ได้ผล
อาจจะทำไม่ถูกวิธีก็ได้
แล้วคนเมื่อก่อนก็คงเลี้ยงกันไม่มากนัก
เพราะพวกมันอยู่ในห้วยหนองคลองบึงตามธรรมชาติมากมาย
อยากกิน อยากขายเมื่อไรก็ไปหาจับเอาตามหัวไร่ปลายนา
ผู้รู้ทุกคนบอกตรงกันว่าปลานาอร่อยกว่าปลาเลี้ยงอย่างทาบกันไม่ติด
ยุคบริโภคล้นเกินนี่ต่างหาก ที่ต้องทำอะไรให้ใหญ่ ให้มากเกินความปกติ
รสชาติความอร่อยแบบธรรมชาติจึงไม่มีโอกาสได้ลิ้มกันแล้ว
ฉันไม่ได้เลี้ยงมันแบบคนสมัยก่อนหรอก เพราะเศษอาหารเรามีไม่มากพอ
จึงต้องซื้ออาหารเม็ดให้พวกมันกิน
มีตั้งแต่เม็ดเล็กจิ๋วสำหรับลูกปลา ไล่ขนาดขึ้นไปตามอายุ
พวกมันโตวันโตคืน แย่งกันสวาปามอาหารเม็ดอย่างบ้าระห่ำ
จากอาหารกระสอบละครึ่งเดือน ก็กลายเป็นสิบวันกระสอบ
อิ่มหมีพีมันแล้วพวกมันก็พากันขี้เต็มสระ จนน้ำเขียวอื๋อและเน่าเหม็น
ต้องถ่ายน้ำ เทน้ำหมักใส่บ่อกันอยู่หลายวันจนเหนื่อยอ่อน ไม่เป็นอันทำงานทำการอย่างอื่น
ฉันจดบันทึกค่าอาหารเม็ดห้อยไว้ข้างฝาบ้าน
มองจำนวนตัวเลขที่เพิ่มขึ้น ๆ บนแผ่นกระดาษด้วยใจระทึก
อาหารก็ยังมีหลายระดับ หลายราคา
คนขายตัวแทนบริษัทใหญ่อธิบายให้ฟังว่า
ถ้าซื้ออาหารราคาถูก ที่มีคนทำขายทั่วไป ปลาอาจจะไม่โต
เหมือนคนกินของไม่มีประโยชน์
แต่ของบริษัทเจริญพันธุ์เจ้านี้สิของแท้ รับรองคุณภาพ เจ๊การันตี
ฉันทำใจเชื่อเจ๊อยู่ราว 5 -6 กระสอบ
จะเป็นเพราะอาหารเกรดดีอย่างเจ๊ว่าหรือเปล่าไม่รู้
ไอ้ห้าร้อยจึงพากันโตวันโตคืน
จนฉันเริ่มรู้สึกว่าทั้งค่าอาหารและขนาดตัวของมัน อาจจะโตเร็วเกินควร
จึงกลับไปซื้ออาหารเม็ดร้านเก่าที่เคยซื้อครั้งแรก ซึ่งราคาถูกกว่ากัน
ลองกินของไม่มีประโยชน์ดูบ้างนะพวกเอ็ง
จะได้อุดหนุนผู้ประกอบการรายย่อยด้วยกันบ้าง
แทนที่จะอุดหนุนแต่ยักษ์ใหญ่ที่อิ่มอ้วนอยู่แล้ว
แล้วยังไงต่อไป ?
ความกังวลเริ่มเข้ามาเยือนตามการเติบโตของพวกมัน
การค้าขาย- สิ่งที่ยากที่สุดก็คือเรื่องการตลาดนี่แหละ
ฉันเริ่มเปิดฉากสนทนาหาความรู้กับแม่ค้าปลาย่างในตลาด เจ้าที่เคยซื้อกินก่อนอื่น
ลองทาบทามนำร่อง ด้วยการถามไถ่ถึงที่มาที่ไปและเสนอตัว
แต่แม่ค้ารู้ทัน รีบตัดบทว่า
"หนูมีขาประจำแล้วพี่ เขามาส่ง โอ๊ย เขาเป็นขาใหญ่ มาจากสุพรรณโน่น"
"เฮ่ย อะไรกัน ปล่อยให้คนถิ่นอื่นมาหากินเหยียบถิ่นเรา
ทำไมไม่อุดหนุนคนบ้านเรากันเองล่ะ" ฉันโยนฟืนใส่ไฟ หวังก่อกระแส
"มันสะดวกพี่ เข้าใจมั้ย" เออแน่ะ เธอย้อนซะแสบ
"เขาคัดมาให้เสร็จ จะเอาเบอร์ไหน ๆ เขามีเครื่องคัดแยก ตัวเล็กตัวใหญ่
เราไม่ต้องมานั่งคัดเสียเวลา่ หนูมาย่างขายหนูก็ตั้งราคาได้เลยตามขนาด
สบายจะตาย.."
"เคยมีคนมาถามขายให้หนูแบบพี่นี่แหละ ถูกกว่าตั้งเยอะหนูยังไม่เอาเล้ย.. มันยุ่ง"
เธอเน้นเสียงวลีสุดท้าย
มันยุ่ง - คำ ๆ นี้เด็ดขาดและเหมาะกับยุคสำเร็จรูปจริง ๆ ด้วย
อะไรที่ยุ่ง อะไรที่ออกนอกทาง แล้วทำให้เหนื่อยขึ้น (แม้จะถูกลง และอาจจะดีกว่า)
ก็ไม่มีใครอยากทำหรอก เพราะมันยุ่ง
มันรบกวนความลงตัว ความสะดวกสบายที่เคยชิน
แม่ค้าสาวยังให้ความรู้ต่อไปอีกว่า
"เขาเป็นนายทุนใหญ่ เขาไม่ต้องขนปลามาจากสุพรรณให้เหนื่อยด้วย
เขา่มาจ้างคนบ้านเราเลี้ยง กี่บ่อก็ว่ากันไป
เอาพันธุ์ปลา เอาอาหารมาส่งเป็นช่วง ๆ ถึงเวลาโตก็มารับซื้อ หักค่าอาหารไป
รับจ้างเลี้ยงอย่างเดียว มีตลาดแน่นอน ครบวงจร
สบายกว่าเรามาทำเองนะพี่" เธอสอนด้วยความหวังดี
"ต้องใหญ่ ถ้าเล็กไม่รอดหรอก" เธอย้ำ
ฉันเก็บคำพูดของเธอมานอนคิดอยู่หลายคืน
วงจรปลาก็ไม่ต่างจากวงจรไก่ วงจรหมู รวมทั้งวงจรข้าว
ตลาดมีเจ้าของหมดแล้ว
จริงหรือ ? ต้องใหญ่เท่านั้นจึงจะรอด เล็ก ๆ ตายเรียบ
ก็ที่เห็น ๆ อยู่ทั้งบ้านทั้งเมือง ไปจนถึงระดับโลก
ก็ทฤษฎีเดียวกันนี่ไม่ใช่หรือ
ใครใหญ่ ใครมีอำนาจก็ครอบครองโลกได้
เป็นไอ้ห้าร้อยตัวจริง
ส่วนไอ้ห้าร้อยของฉันยังคงกระโดดตู้มต้าม
มีความสุขอยู่ในบ่อ แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความทุกข์ของเจ้าของ
คนเล็ก ๆ ที่คิดการใหญ่ก็จะต้องเจ็บตัวกันทั้งนั้น
แจ็คผู้ฆ่ายักษ์มีอยู่แต่ในนิทานหลอกเด็ก
และในชีวิตจริง
ยักษ์ก็กวาดต้อนพวกเราลงไปอยู่ในคอก ในฝูงเดียวกับหมู ไก่ ปลา เรียบร้อยแล้ว
ราคาของเราถูกกำหนดมาแค่นั้นจริง ๆ
ถ้าไม่คิดอะไรมากมันก็ดูสุขสบายดี..
ฉันยอมแพ้..ตัดสินใจขายขาดทุนแบบยกบ่อ
ก่อนที่จะเข้าเนื้อเถือหนังไปมากกว่านี้
พรุ่งนี้จะมีมืออาชีพเข้ามาจัดการให้
แล้วทุกอย่างก็จะกลับคืนสู่ความเป็นปกติ