วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

อนุสรณ์สถานวิเวกานันทะ





ท่านสวามีวิเวกานันทะเป็นนักบวชชาวฮินดู
เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2406 ที่ประเทศอังกฤษ
และเสียชีวิตวันที่ 4 กรกฎาคม 2445
ได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิรูปศาสนา และนักปฏิวัติสังคม
ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ตามป่าเขา เพื่อปฏิบัติสมาธิภาวนา

โขดหินแห่งนี้เป็นที่ที่ท่านใช้เป็นที่ปฏิบัติภาวนา
โดยว่ายน้ำข้ามทะเลไปยังโขดหินเป็นกิจวัตร
ต่อมาเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงท่าน
จึงมีการสร้างอนุสรณ์สถานวิเวกานันทะขึ้น
กลายเป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยว และที่สักการะบูชา
โดยมีเรือข้ามฟาก บริการประชาชนตลอดทั้งวัน

17 ตุลาคม 2555
เราเดินจากที่พักไปที่ชายหาดเส้นทางเดิมเมื่อวานเย็น
ซื้อตั๋วข้ามฟาก คนละ 30 รูปี เป็นตั๋วไป-กลับ
ระยะทางราว 400 เมตร
ก่อนขึ้นเรือต้องหยิบเสื้อชูชีพคนละตัว เมื่อถึงฝั่งก็วางกองคืนไว้








เมื่อถึงอนุสรณ์สถาน เก็บค่าเข้าชมคนละ 10 รูปี
ทุกคนต้องถอดรองเท้า ฝากไว้ด้านล่าง























ด้านล่างของอาคารหลังนี้คือห้องทำสมาธิ
ภายในห้องมืดสลัว มีเสียง"โอม" เบาๆ อยู่ตลอดเวลา
มีตัวอักษร "โอม" ที่ทำเป็นป้ายไฟ ปรากฏให้เห็นอยู่ด้านหน้า
มีเก้าอี้ให้นั่ง สำหรับคนที่ต้องการทำสมาธิ

บริเวณอาคารมีห้องขายหนังสือและของที่ระลึก
เราแวะเข้าไปดูในร้านและซื้อของติดไม้ติดมือกันมาเล็กน้อย
เป็นพวงกุญแจอักษร "โอม" และสร้อยเส้นเล็กๆมีจี้เป็นรูปโอมเช่นกัน

ขากลับฟ้าฝนมืดครึ้ม
ลงเรือกลับมาแล้ว เราเดินลัดเลาะชายคาหลบฝน
ผ่านโบสถ์คริสต์หลังใหญ่ อาศัยเข้าไปหลบฝนชั่วคราว
ก่อนจะเดินไปหาร้านอาหารระหว่างทางกลับที่พัก









กันยากุมารี - สุดแผ่นดินอินเดีย





เมื่อนึกภาพแผนที่ประเทศอินเดีย
ส่วนปลายสุดของผืนแผ่นดิน  นั่นคือกันยากุมารี

แผ่นดินอินเดียยื่นลงไปในสามทะเล
ทะเลอาระเบียนอยู่ทางทิศตะวันตก
อ่าวเบงกอลอยู่ทางทิศตะวันออก
และมหาสมุทรอินเดียอยู่ทางทิศใต้

ชื่อ"กันยากุมารี" เป็นชื่อของเทวาลัย
ที่ประดิษฐานรูปพระแม่กันยากุมารี พระแม่เจ้าของชาวอินเดียใต้
เทวาลัยมีกำแพงสูงล้อมรอบ และเรา(ที่ไม่ใช่ชาวฮินดู)ไม่สามารถเข้าไปได้

บ่ายวันที่ 16 ตุลาคม 2555

หลังจากพักผ่อนกันตามสมควร คณะเราก็พากันเดินจากที่พักลัดเลาะไปจนถึงริมทะเล
สองข้างทางเป็นร้านค้าเรียงราย ขายอาหารบ้าง ขายของที่ระลึกบ้าง
ประเภทเปลือกหอย และที่มาร้อยเป็นพวงๆบ้าง เป็นโมบายล์บ้าง

มีร้านที่เป็นร้านค้าของรัฐ เราแวะเข้าไปดู ได้ของฝากติดไม้ติดมือเล็กๆน้อยๆ
ฉันซื้อสร้อยหินไปฝากน้องสาว  เห็นเป็นแก้วขนเหล็กที่เธอชอบ
แต่หินไม่งามเท่าหินเมืองเถินลำปางหรอก   เส้นละ 190 รูปี






อาคารหลังนี้มีบันไดขึ้นไปจนถึงดาดฟ้าชั้นบน
เป็นจุดชมวิว
ตามข้อมูลบอกว่าเป็นจุดที่นำเถ้าอังคารส่วนหนึ่งของท่านมหาตมะคานธี
มาโปรยลงทะเลที่นี่

มองออกไปนอกชายฝั่ง จะเห็นสิ่งปลูกสร้างเหนือโขดหิน
ที่นั่นคืออนุสรณ์สถานวิเวกานันทะ และมณฑปศรีบาท
แต่วันนี้เราจะยังไม่ข้ามไป เพราะเย็นย่ำแล้ว





ชายหาดที่นี่เหมือนเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจในยามค่ำ
พ่อค้าแม่ค้าเตรียมกางเต๊นท์ขายของกันที่ลานริมหาด




ผู้คนมารอดูพระอาทิตย์ตกมากมายคึกคัก
มีพ่อค้า แม่ค้าเร่มาตื๊อขายของมากมายเช่นกัน
เราซื้อถั่วลิสงคั่วมานั่งขบเคี้ยวกินกันเล่นๆ
และกินชาร้อนกันคนละแก้ว จากพ่อค้าชาที่หิ้วกระติกเดินเร่ขายอยู่แถวนั้น


















วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558

กันยากุมารี




16 ตุลาคม 2555

วันนี้ออกเดินทางไปเมืองกันยากุมารี เมืองที่อยู่ใต้สุดของประเทศอินเดีย
ตื่นนอนตั้งแต่ตี 4 กว่าๆ  เช็คเอาท์จากโรงแรมทมิฬนาฑู ราวตี 5 เศษๆ
เดินไปสถานีขนส่ง Periyar เพื่อต่อรถไปที่สถานีขนส่งนอกเมือง (Intergrated Bus Stand)
ซึ่งอยู่ห่างออกไป 7 กิโลเมตร

                             
                        เช้าตรู่ที่สถานีขนส่งนอกเมือง  ดูลีลาการจัดร้าน  หนุ่มอินเดียชอบให้ถ่ายรูปมาก



สอบถามเรื่องรถแล้วตัดสินใจขึ้นรถเมล์ไปเมือง Nagercoil  ตอน 6.30 น.
เพราะไม่อยากรอรถไปกันยากุมารีที่จะออกเวลา 8.30 น.
ถึง Nagercoil แล้วค่อยต่อรถไปกันยากุมารี อีกเพียง 16 กิโลเมตร

ค่ารถเมล์ไป Nagercoil  คนละ 150 รูปี ใช้เวลาเดินทางราว 4 ชั่วโมง
ถึง Nagercoil  10.30 น.  ต่อรถเมล์ไปกันยากุมารี
ค่ารถคนละ 12 รูปี
บอกกระเป๋ารถเมล์ขอลงที่หน้าหอพักวิเวกานันทะ

ที่นี่นอกจากจะเป็นที่ให้เช่าพัก ยังเป็นสถานที่จัดอบรม ทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งสมาธิภาวนา  โยคะ ฯ
ลักษณะเป็นชมรม หรือสมาคม ที่ทำกิจกรรมเพื่อศาสนาและสังคม
ตามแนวทางของท่านสวามี วิเวกานันทะ
นักบวชชาวฮินดู ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก




จากปากทางที่เราลงรถเมล์ เดินเข้าไปตามทางเข้า
จะเห็นป้ายคำสอนต่างๆ ของท่านวิเวกานันทะ ไปตลอดสองข้างทาง
พื้นที่บริเวณกว้างขวางและร่มรื่นมาก




                                                                ดอกแสริมทางเดิน






                                      ป้ายหน้าห้อง อาคารที่ไปลงทะเบียนเช่าห้องพัก

ติดต่อลงทะเบียนห้องพัก  ได้ห้องแอร์  3 เตียง  คืนละ 1000 รูปี
จากนั้นเดินไปกินข้าวกลางวัน ในแคนทีน
เป็นอาหารฮินดู คล้ายๆกับที่เคยกินวันก่อนๆ
ค่าอาหารคนละ 35 รูปี




กินข้าวเสร็จ ซื้อน้ำเปล่าขวดใหญ่ เดินกลับไปพักผ่อนที่ห้อง (ห้องพักอยู่ไกลพอสมควร)
เพื่อจะเดินลุยกันต่อไปในช่วงบ่ายแก่ๆ



วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

พิพิธภัณฑ์คานธีอนุสรณ์


 











พิพิธภัณฑ์คานธีอนุสรณ์แห่งมธุไรตั้งขึ้นเมื่อปี พศ.2523
หลังการจากไปของมหาตมะคานธี 32 ปี
ชาวอินเดียทุกชนชั้นร่วมใจกันบริจาคเงินเพื่อสร้างอนุสรณ์สถาน
เพื่อระลึกถึง "บิดาแห่งอินเดีย"ของพวกเขา
โดยได้เลือกหาสถานที่เพื่อจัดสร้างขึ้น 7 แห่ง
และหนึ่งใน 7 แห่งนั้นคือพิพิธภัณฑ์คานธีอนุสรณ์แห่งเมืองมธุไรแห่งนี้

ที่นี่เคยเป็นพระราชวังฤดูร้อนของรานีมันกัมมัล  (Rani Mangammal)
ชายาแห่งอุปราชนายกะแห่งมธุไร
เป็นอาคารขนาดใหญ่สีขาว ทรงสูง
ไม่เสียค่าเข้าชม  เสียแต่ค่ากล้องถ่ายรูป 50 รูปี



พิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวการต่อสู้ของชาวอินเดีย
เพื่อเป็นเอกราชจากอังกฤษ ที่นำโดยมหาตมะ คานธี





เมืองมธุไรมีความสำคัญในแง่ที่เมื่อมหาตมะคานธีมาเยือนเมื่อปี คศ.1921
ท่านได้สังเกตเห็นการแต่งกายแบบพื้นเมืองที่เรียบง่ายของประชาชน
ท่านจึงเปลี่ยนวิธีการแต่งกาย  หันมาใช้ผ้าฝ้ายนุ่งห่มแบบเรียบๆง่ายๆ
เพื่อใช้เป็นอาวุธในทางสัญญลักษณ์ต่อกรกับมหาอำนาจ












มีห้องจัดแสดงเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวต่างๆของคานธี
รวมทั้งเสื้อผ้าชุดสุดท้ายที่ท่านสวมใส่ในวันที่ถูกลอบสังหาร ซึ่งยังมีรอยคราบเลือดจางๆฝังอยู่




   คนสามคนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของคานธี    RAYCHANDBHAI  ,  TOLSTOY ,  RUSKIN
                                                



                           บรรยากาศแห่งความเศร้า เต็มตื้น  อ้อยอิ่งอยู่ในขณะที่เดินมาถึงห้องสุดท้าย



ความรู้สึกตอนที่เดินดูตั้งแต่ต้นจนจบ
อยากรู้ว่า  the British  ที่ถ้าได้เข้ามาเดินดูจะรู้สึกอย่างไรบ้างหนอ ?

อินเดียเป็นอิสระจากอังกฤษโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่ 15  สิงหาคม คศ.1947
อินเดียแยกเป็นสองประเทศ คืออินเดียและปากีสถาน
และมหาตมะคานธีถูกลอบสังหารจากคนฮินดูหัวรุนแรงในวันที่  31 มกราคม 1948
อายุ 78 ปี


ขอคารวะท่านมหาตมะคานธี  ผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในหัวใจเราเสมอ