วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

เราต่างกำลังเดินทางไกล









หลายวันก่อน มีโอกาสได้คุยกับน้องชายคนหนึ่ง ที่ศึกษาธรรมะมาพอควร
น้องพูดถึงภาวะของคนใกล้ตาย
ว่าจะมีสัมผัสพิเศษ  รับรู้พลังบางอย่างที่คนธรรมดารับรู้ไม่ได้

และหากจิตยังพอมีพลัง ถ้าได้ฟังธรรมในนาทีนั้น
ก็อาจบรรลุธรรมได้
แต่ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าไม่ใช่คนที่ปฏิบัติภาวนามาจนถึงระดับ
ก็มักจะตกลงไปข้างล่าง
"ข้างล่าง"ก็คือภพภูมิที่ยังต้องไปชดใช้กรรม

หัวข้อสนทนาในวันนั้นเกาะเกี่ยววนเวียนอยู่ในใจฉัน
จนเมื่อกลับมาบ้าน ต้องมารื้อตู้หนังสือ
หยิบ "พุทธธรรม"  ของท่านปยุต  ปยุตโต  ที่ถูกปลวกแทะขอบๆเล่มไปบางส่วน
ขึ้นมาพยายามอ่านใหม่

รวมทั้งหนังสือของท่านปราโมทย์  ปราโมชโช ที่เคยอ่านมาแล้วอีก 2-3 เล่ม

แค่เรื่องขันธ์ 5  ก็ทำให้ฉันนอนไม่หลับไปค่อนคืน









น้องชายคนนี้เอง
ในวันที่เขาอุตส่าห์ขับรถข้ามจังหวัด เพื่อมาเคารพศพแม่
ระหว่างที่นั่งรอพิธีกรรม  เขาถามฉันว่า

"พี่ร้องไห้ไหม"
ฉันส่ายหน้า  ตอบสั้นๆว่า  "ยัง"
เป็นคำตอบที่"เผื่อ"ไว้ให้ตัวเองแล้ว

เขายกนิ้วโป้งแทนคำตอบ

ฉันเป็นลูกคนเดียวที่ไม่ได้เห็นใจแม่ในนาทีสุดท้าย
รู้ดีว่าน้องๆต้องว่ายข้ามทะเลน้ำตา ฝ่าคลื่นมรสุมไปด้วยกัน
หนักหนาสาหัสเพียงใด

ฉันเหมือนยืนอยู่อีกฟากฝั่งของมหาสมุทร
แม้จะสั่นสะเทือนไม่แพ้กัน แต่ก็ยังไม่ถูกไล่ล่าด้วยมรสุมลูกใหญ่
เหมือนคนอีกฟากฝั่ง

นาทีนั้นเป็นช่วงชีวิตที่ชุลมุนยิ่งของฉันกับภารกิจตรงหน้า

ฟากหนึ่งคือลูกที่กำลังจะต้องเดินทางไกลข้ามทวีป
เพื่อไปทำหน้าที่ของเขา

อีกฟากหนึ่งคือแม่ ที่ก็กำลังจะเดินทางไกล
ข้ามภพข้ามชาติ..

ทั้งการเกิดและการตายอยู่ใกล้กันจนเหมือนลมหายใจเข้าและออก

ฉันผ่านนาทีนั้นมาด้วยความนิ่งงัน
ไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยด

ไม่ได้คิดว่าตัวเองเข้มแข็งหรือสอบผ่านวิชาใดๆเลย
ไม่ได้ต้องการท้าทายใครทั้งสิ้น
ฉันก็มีบ่อน้ำตาเหมือนคนอื่นๆ
ซุกซ่อนอยู่ข้างใน

วันนี้ ฉันเพียงแต่เฝ้าดูความนิ่งงันของตัวเอง
ว่ามันจะนำฉันไปที่ใด

เราต่างก็กำลังเดินทางไกลด้วยกันทั้งนั้นมิใช่หรือ?
และหนทางนั้นคงไม่ได้ราบรื่นอะไรนัก

ฉันถามตัวเองทุกวันเมื่อตื่นลืมตา
ว่าวันนี้เตรียมเสบียงไปถึงไหนแล้ว?