วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ไอ้ห้าร้อย






* หมายเหตุ...   เรื่องนี้เคยส่งไปให้นิตยสารการเมืองฉบับหนึ่งพิจารณา แต่ไม่ผ่าน
การพิมพ์ครั้งนี้ ได้แก้ไข  ตัดทอน ตัดทิ้ง และเปลี่ยนแปลงเนื้อหาบางส่วน
(ไม่รู้เหมือนกันว่าบอกทำไม  ถึงไม่บอกมันก็เป็นเรื่องของผู้เขียน ไม่เกี่ยวกับใครอยู่แล้วค่ะ)




ไอ้ห้าร้อยอยู่กับเรามาสามเดือนเต็ม  ก็สิ้นบุญสิ้นกรรมต่อกัน

ฉันเรียกมันว่า "ไอ้ห้าร้อย"  เพราะพวกมันมีห้าร้อยตัว
และเราเริ่มต้นลงทุนไปกับพวกมันห้าร้อยบาท

พวกมันอยู่ในสระอย่างมีความสุข
ประเมินจากอาการแหวกว่ายกันอย่างเริงร่า

บางครั้งก็กระโจนพรวดสวนกันไปมา  บางทีไปไกลเกือบครึ่งสระ
เหมือนกำลังฝึกซ้อมกีฬากระโดดไกล หรือโปโลน้ำ เตรียมไปแข่งขันที่ไหนสักแห่ง

และบางวันที่น้ำในสระขึ้นสูงมาก  เช่นฝนตกหนักไม่ยอมหยุด
พวกมันบางตัวก็กระโดดออกมานอนกระแด่ว ๆ บนพื้นหญ้าข้างนอก
อาจเป็นเพราะประเมินระยะไกลไม่ถูก
ถ้าไม่มีใครเห็นและจับโยนลงสระคืนให้  ก็คงต้องนอนแห้งตายแหงแก๋อยู่ตรงนั้น

วันแรกที่ซื้อพวกมันมา
ฉันโยนถุงที่ใส่พวกมันลงสระ
ปล่อยให้ถุงอัดอากาศพองลมใบใหญ่  ลอยตุ๊บป่องอยู่ในน้ำเพื่อปรับอุณหภูมิ
ตามที่ผู้เชี่ยวชาญบอก
แล้วจึงค่อยเปิดปากถุง ปล่อยพวกมันลงไปสัมผัสน้ำจริงในสระ

ด้วยความยาวของช่วงตัว เพียง 1 นิ้วเศษ ๆ
เมื่อปล่อยออกจากถุง  พวกมันทั้งห้าร้อยจึงหายวาบไปกับตา

"ควรซื้อพวกมันมาเพิ่ม"  คุณพ่อบ้านเสนอแนะ
เพื่อให้สมดุลกับขนาดของบ่อหรือสระของเรา

เดชะบุญที่ฉันไปเสีัยอารมณ์กับ "มิสเตอร์บีน" คนขายลูกปลาเสียก่อน
ที่เสียสัจจะการนัดหมายไปถึง 4-5 รอบ
ทั้งที่รับคำ  "ครับ ๆ ๆ.." ทางโทรศัพท์อย่างพินอบพิเทา  เป็นมั่นเป็นเหมาะ
แต่ไม่เคยมาตามนัดเลยสักครั้ง

ฉันจึงตัดสัมพันธ์อย่้างไม่ไยดี
แม้จะยังจดจำหน้าตาบ้องแบ๊วของเขาได้อยู่เสมอ
และแอบตั้งชื่อให้ใหม่
ทั้งที่เขามีชื่อเดิมเป็นภาษาคำเมืองอันแสนไพเราะว่า นายสมโล่

ไอ้ห้าร้อยจึงยังคงเป็นไอ้ห้าร้อย
ไม่ได้เป็นไอ้พันห้า หรือไอ้สองพัน อย่างที่ตั้งใจ

มีคนถามว่า คิดยังไงจึงมาเลี้ยงไอ้ห้าร้อยพวกนี้
ยังไม่เข็ดอีกหรือ จากการเลี้ยงไก่เต็มบ้านนับร้อยตัวเมื่อหลายปีก่อน
ก่อนเกิดวิกฤติไข้หวัดนกลามไปทั่วโลก
และกระบวนการเลี้ยงไก่ก็จบลงอย่างไม่เป็นท่า
ขายไก่ได้ทั้งหมดทั้งสิ้นแค่ 250 บาท   ฟังดูน่าเวทนาจับใจ

เออนะ..มันก็คงจะยังไม่เข็ด

คนเรานี่อยู่ที่ความคิดจริง ๆ..

คิดง่าย ๆ ว่าลงทุนน้อย  พื้นที่เราก็ทิ้งว่างอยู่เฉย ๆ
ฝันหวานว่ามันจะเป็นงานอดิเรกที่สามารถเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง
และคิดว่าไม่ต้องใส่ใจดูแลมันมาก  เลี้ยงๆ ไป เดี๋ยวมันก็โตเอง

แต่โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาโดยง่ายเลยสักอย่าง
พวกคิดอะไรง่าย ๆ  จึงมักจะต้องจบลงอย่างง่าย ๆ เหมือนกัน

เมื่อโยนพวกมันลงน้ำแล้วใช่ว่าจะโตเองได้โดยอัตโนมัติ
ต้องให้อาหาร ต้องลงทุน

คนสมัยก่อน สมัยที่ยังไม่มีอาหารสำเร็จรูปขาย
เลี้ยงพวกมันด้วยเศษอาหาร ไส้ไก่ เครื่องในสัตว์ราคาถูก
เอามาสับ ๆๆ  โยนลงไปให้พวกมันกินกัน
บางทีก็เป็นเศษข้า่ว เป็นแกลบหรือรำ  ตามแต่สภาพของท้องถิ่น

บางคนยังบอกว่าแม้แต่กล้วยน้ำว้ามันก็กิน
แต่ฉันลองแล้ว ไม่ได้ผล
อาจจะทำไม่ถูกวิธีก็ได้

แล้วคนเมื่อก่อนก็คงเลี้ยงกันไม่มากนัก
เพราะพวกมันอยู่ในห้วยหนองคลองบึงตามธรรมชาติมากมาย
อยากกิน อยากขายเมื่อไรก็ไปหาจับเอาตามหัวไร่ปลายนา
ผู้รู้ทุกคนบอกตรงกันว่าปลานาอร่อยกว่าปลาเลี้ยงอย่างทาบกันไม่ติด

ยุคบริโภคล้นเกินนี่ต่างหาก ที่ต้องทำอะไรให้ใหญ่ ให้มากเกินความปกติ
รสชาติความอร่อยแบบธรรมชาติจึงไม่มีโอกาสได้ลิ้มกันแล้ว

ฉันไม่ได้เลี้ยงมันแบบคนสมัยก่อนหรอก เพราะเศษอาหารเรามีไม่มากพอ
จึงต้องซื้ออาหารเม็ดให้พวกมันกิน
มีตั้งแต่เม็ดเล็กจิ๋วสำหรับลูกปลา  ไล่ขนาดขึ้นไปตามอายุ

พวกมันโตวันโตคืน  แย่งกันสวาปามอาหารเม็ดอย่างบ้าระห่ำ

จากอาหารกระสอบละครึ่งเดือน ก็กลายเป็นสิบวันกระสอบ
อิ่มหมีพีมันแล้วพวกมันก็พากันขี้เต็มสระ จนน้ำเขียวอื๋อและเน่าเหม็น
ต้องถ่ายน้ำ เทน้ำหมักใส่บ่อกันอยู่หลายวันจนเหนื่อยอ่อน ไม่เป็นอันทำงานทำการอย่างอื่น

ฉันจดบันทึกค่าอาหารเม็ดห้อยไว้ข้างฝาบ้าน
มองจำนวนตัวเลขที่เพิ่มขึ้น ๆ บนแผ่นกระดาษด้วยใจระทึก

อาหารก็ยังมีหลายระดับ หลายราคา
คนขายตัวแทนบริษัทใหญ่อธิบายให้ฟังว่า
ถ้าซื้ออาหารราคาถูก ที่มีคนทำขายทั่วไป  ปลาอาจจะไม่โต
เหมือนคนกินของไม่มีประโยชน์

แต่ของบริษัทเจริญพันธุ์เจ้านี้สิของแท้  รับรองคุณภาพ เจ๊การันตี
ฉันทำใจเชื่อเจ๊อยู่ราว 5 -6 กระสอบ

จะเป็นเพราะอาหารเกรดดีอย่างเจ๊ว่าหรือเปล่าไม่รู้
ไอ้ห้าร้อยจึงพากันโตวันโตคืน
จนฉันเริ่มรู้สึกว่าทั้งค่าอาหารและขนาดตัวของมัน อาจจะโตเร็วเกินควร
จึงกลับไปซื้ออาหารเม็ดร้านเก่าที่เคยซื้อครั้งแรก  ซึ่งราคาถูกกว่ากัน

ลองกินของไม่มีประโยชน์ดูบ้างนะพวกเอ็ง
จะได้อุดหนุนผู้ประกอบการรายย่อยด้วยกันบ้าง
แทนที่จะอุดหนุนแต่ยักษ์ใหญ่ที่อิ่มอ้วนอยู่แล้ว

แล้วยังไงต่อไป ?
ความกังวลเริ่มเข้ามาเยือนตามการเติบโตของพวกมัน
การค้าขาย- สิ่งที่ยากที่สุดก็คือเรื่องการตลาดนี่แหละ

ฉันเริ่มเปิดฉากสนทนาหาความรู้กับแม่ค้าปลาย่างในตลาด เจ้าที่เคยซื้อกินก่อนอื่น
ลองทาบทามนำร่อง ด้วยการถามไถ่ถึงที่มาที่ไปและเสนอตัว
แต่แม่ค้ารู้ทัน รีบตัดบทว่า

"หนูมีขาประจำแล้วพี่  เขามาส่ง  โอ๊ย เขาเป็นขาใหญ่ มาจากสุพรรณโน่น"
"เฮ่ย  อะไรกัน ปล่อยให้คนถิ่นอื่นมาหากินเหยียบถิ่นเรา
ทำไมไม่อุดหนุนคนบ้านเรากันเองล่ะ"  ฉันโยนฟืนใส่ไฟ  หวังก่อกระแส

"มันสะดวกพี่ เข้าใจมั้ย"  เออแน่ะ เธอย้อนซะแสบ
"เขาคัดมาให้เสร็จ  จะเอาเบอร์ไหน ๆ  เขามีเครื่องคัดแยก ตัวเล็กตัวใหญ่
เราไม่ต้องมานั่งคัดเสียเวลา่  หนูมาย่างขายหนูก็ตั้งราคาได้เลยตามขนาด
สบายจะตาย.."

"เคยมีคนมาถามขายให้หนูแบบพี่นี่แหละ  ถูกกว่าตั้งเยอะหนูยังไม่เอาเล้ย..  มันยุ่ง"
เธอเน้นเสียงวลีสุดท้าย

มันยุ่ง - คำ ๆ นี้เด็ดขาดและเหมาะกับยุคสำเร็จรูปจริง ๆ ด้วย

อะไรที่ยุ่ง  อะไรที่ออกนอกทาง แล้วทำให้เหนื่อยขึ้น (แม้จะถูกลง และอาจจะดีกว่า)
ก็ไม่มีใครอยากทำหรอก   เพราะมันยุ่ง
มันรบกวนความลงตัว  ความสะดวกสบายที่เคยชิน

แม่ค้าสาวยังให้ความรู้ต่อไปอีกว่า
"เขาเป็นนายทุนใหญ่  เขาไม่ต้องขนปลามาจากสุพรรณให้เหนื่อยด้วย
เขา่มาจ้างคนบ้านเราเลี้ยง  กี่บ่อก็ว่ากันไป
เอาพันธุ์ปลา เอาอาหารมาส่งเป็นช่วง ๆ ถึงเวลาโตก็มารับซื้อ หักค่าอาหารไป
รับจ้างเลี้ยงอย่างเดียว มีตลาดแน่นอน ครบวงจร
สบายกว่าเรามาทำเองนะพี่"    เธอสอนด้วยความหวังดี

"ต้องใหญ่  ถ้าเล็กไม่รอดหรอก"  เธอย้ำ

ฉันเก็บคำพูดของเธอมานอนคิดอยู่หลายคืน
วงจรปลาก็ไม่ต่างจากวงจรไก่  วงจรหมู  รวมทั้งวงจรข้าว
ตลาดมีเจ้าของหมดแล้ว

จริงหรือ ?  ต้องใหญ่เท่านั้นจึงจะรอด  เล็ก ๆ ตายเรียบ
ก็ที่เห็น ๆ อยู่ทั้งบ้านทั้งเมือง ไปจนถึงระดับโลก
ก็ทฤษฎีเดียวกันนี่ไม่ใช่หรือ
ใครใหญ่ ใครมีอำนาจก็ครอบครองโลกได้
เป็นไอ้ห้าร้อยตัวจริง

ส่วนไอ้ห้าร้อยของฉันยังคงกระโดดตู้มต้าม
มีความสุขอยู่ในบ่อ แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความทุกข์ของเจ้าของ

คนเล็ก ๆ ที่คิดการใหญ่ก็จะต้องเจ็บตัวกันทั้งนั้น
แจ็คผู้ฆ่ายักษ์มีอยู่แต่ในนิทานหลอกเด็ก
และในชีวิตจริง
ยักษ์ก็กวาดต้อนพวกเราลงไปอยู่ในคอก ในฝูงเดียวกับหมู ไก่ ปลา เรียบร้อยแล้ว

ราคาของเราถูกกำหนดมาแค่นั้นจริง ๆ
ถ้าไม่คิดอะไรมากมันก็ดูสุขสบายดี..

ฉันยอมแพ้..ตัดสินใจขายขาดทุนแบบยกบ่อ
ก่อนที่จะเข้าเนื้อเถือหนังไปมากกว่านี้

พรุ่งนี้จะมีมืออาชีพเข้ามาจัดการให้
แล้วทุกอย่างก็จะกลับคืนสู่ความเป็นปกติ










วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

งานสำคัญ







ตอนที่ตาจันทร์มาส่งเสียงเรียกที่ประตูหลังบ้าน  ฉันเพิ่งกลับมาจากข้างนอก
วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ  ตั้งใจว่าวันนี้จะเริ่มทำงานสำคัญเสียที

เสียงเรียกของตาจันทร์ฟังไม่ได้ศัพท์
แต่ก็จำต้องลุกออกไปดู 

"เอาปลามั้ย"  
ตาจันทร์ชายสูงวัยใกล้ 70 ยื่นถุงปลาให้ดู

ฉันถามว่าไปเอามาจากไหน  แกตอบว่าที่หนองน้ำโน่น พลางชี้มือไปทางทิศใต้
"ปลาอะไร"
"ปลาขาว"

ปลาตัวเล็กตัวน้อยเกล็ดสีเงิน  ปลายหางเป็นสีแสดสด
นอนแอ้งแม้งอยู่ในถุง"คอบแคบ"  - ตายหมดแล้ว
ถ้ายังเป็น ๆ ฉันคงไม่เสียเวลาซักถาม

"ลุงไม่ไปขายข้างใน"  ฉันหมายถึงหลังบ้านที่เป็นโรงงานเล็กๆ
มีคนงานอยู่จำนวนหนึ่ง

"ไปมาแล้วครับ  ไม่มีใครเอา.."
อ้าว..ฉันอุทานอยู่ในใจ  ก็เหลือเราคนเดียวงั้นสิ

ด้วยความใจอ่อนอันเป็นสันดานติดตัว
ฉันจึงเหมาซื้อปลาลุงจันทร์ทั้งหมดสามถุง 30 บาท

"ทอดได้มั้ย"  ฉันถาม ด้วยไม่คุ้นเคยกับปลาชนิดนี้
"ได้ครับ"  ลุงจันทร์ตอบรับแข็งขัน
รับเงิน 30 บาทไปด้วยสีหน้าแช่มชื่น

ไหน ๆ มือก็จับถุง ติดกลิ่นติดเมือกลื่นของปลาแล้ว
จึงจัดการเทใส่กะละมังล้างเสียเลย

กลิ่นคาวปลาคลุ้งไปทั่วบริเวณ

กางเกงขายาวสีครีมที่ใส่เป็น "ชุดนอกบ้าน"
เมื่อกี้ตั้งใจตอนกลับมาถึง ว่าจะไปเปลี่ยนเป็น"ชุดอยู่บ้าน" ให้สบาย ๆ
ก็เลยไม่ทันได้เปลี่ยน

ฉันหิ้วกะละมังปลาไปนั่งข้างก๊อกน้ำนอกบ้าน
มีปลาตัวเขื่อง ๆ ติดมาด้วยหลายตัว
จึงจำต้องลุกไปหยิบมีดด้ามเล็กมาผ่าท้อง ควักขี้ควักไส้ออกทิ้ง

แมลงวันหัวเขียวจมูกไวพากันมารุมตอมอย่างน่ารำคาญ
ฉันล้างปลาไปหงุดหงิดไป

ทำไมหนอจึงเกิดชะตากรรมอันไม่คาดคิด
ฉันไม่ได้อยากจะทำปลาเลยแม้แต่น้อย

งานสำคัญที่ตั้งใจจะทำแท้ ๆ กลับไม่ได้ทำ

แล้วดูสารรูปตัวเองซิ 
กางเกงขายาวสีครีมสะอาด  เสื้อลายดอกกุหลาบสีเหลือง
จู่ ๆ ต้องมานั่งยงโย่ยงหยก กรีดท้องปลา  เลือดแดงเต็มกะละมัง
เหมือนเล่นบทนางพญามาร

ฉันประหวัดคิดถึงเหตุการณ์ทำนองนี้  หลายครั้งหลายหน

สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเฉพาะหน้า
ทำให้สิ่งที่คาดคิดไว้ล่วงหน้า ไม่อาจเป็นไปตามที่หวัง

เพียงแต่ฉันจะพูดคำว่า "ไม่"  ทุกสิ่งก็จะจบ
และเป็นไปตามแผนเดิมมิใช่หรือ

นี่เป็นเพราะวาสนา หรือ"กรรมเก่า" แห่งตน
ขี้สงสาร  คิดแทน รู้สึกแทนคนอื่น

ในขณะที่คนที่ถูกสงสาร ก็อาจไม่ได้ซาบซึ้งหรือสำนึกอะไรเลยก็ได้

ตาจันทร์อาจจะกำลังนั่งซดเหล้าอยู่ที่ร้านชำหน้าหมู่บ้าน
ด้วยเงิน 30 บาทที่เพิ่งได้ไป

คนที่น่าสงสาร น่าจะเป็นตัวฉันเองเสียมากกว่า

เรามักจะละเลยสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต
เราเสียเวลามากมายกับการทำงาน หรือทำในสิ่งที่ไม่ชอบ หรือสิ่งที่หาสาระไม่ได้
และมักคิดว่า วันหนึ่งจะได้ทำสิ่งที่สำคัญ หรือสิ่งที่ชอบนั้น
เรามีความหวังกับการรอคอย..

แต่สำหรับบางคน  โอกาสเช่นนั้นไม่เคยมาถึง


กว่าฉันจะจัดการกับปลา และจัดการกับกลิ่นคาวปลาของตัวเองเสร็จ
เวลาก็ล่วงเลยไปจนบ่ายแก่

ขอเอนหลังสักหน่อยเถอะ - เป็นเสียงกระซิบจากข้างใน
สำหรับฉันไม่มีอะไรจะสุขเท่ากับการนอน

ตื่นมาอีกที ก็ถึงเวลาเตรียมอาหารเย็นและงานแม่บ้านสารพัด

"งานสำคัญ"  ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ สงบนิ่ง

งานในครัวเสร็จสิ้นทุกอย่างเมื่อเวลาทุ่มเศษ
ติดตามข่าวสารบ้านเมืองจากโทรทัศน์บ้างนิดหน่อย

"เอาล่ะ.. ได้เวลาทำงานสำคัญกันเสียที" 

ฉันลุกจากเก้าอี้หวายหน้าทีวี
บิดขี้เกียจ..และหาวนอน
ก่อนจะไปนั่งซึมอยู่หน้าโต๊ะ












วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หลง






หมาน้อยพันธุ์ผสม อายุยังไม่ถึงขวบปี
โผล่หน้ามาที่บ้านในวันปีใหม่
จู่ ๆ ก็มาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้

เพื่อนสนิทที่เป็นคนรักหมา
และบังเอิญสัญจรมาเยี่ยมในวันนั้นพอดี บอกว่า
"ให้ชื่อไอ้ปีใหม่ไปเลย"

แต่เราอยากจะเรียกมันว่าไอ้หลงมากกว่า

มาจากไหนกันล่ะนี่  ไม่ได้เชื้อไม่ได้เชิญ
บ้านนี้ไม่ใช่คนรักหมาเสียด้วย

ความรู้สึกแรกจึงเป็นความกังวลใจ มากกว่าความยินดี
แม้เพื่อนจะอ้างคำโบราณบอกว่า  มีสัตว์สองเท้า สี่เท้าเข้าบ้านจะโชคดี
ฉันจึงบอกให้เธอเอาใส่รถกลับไปด้วย
เพื่อนก็ปฏิเสธ เพราะเธอก็อุ้มชิวาวา ติดรถมาด้วยตัวหนึ่งแล้ว

เจ้าปีใหม่  หมาหลงที่ยังไม่รู้สาเหตุแห่งการหลง
ทำตัวเป็นขาใหญ่ประจำบ้านตั้งแต่วันแรก (ทั้งที่ขาสั้นและเล็กนิดเดียว)
ด้วยการไล่กัดนางทอม  หมาใหญ่เจ้าถิ่น  -  แน่นอนต้องทำต่อหน้าเรา
เพราะต้องการอวดศักดาว่า  ..กูนี่แหละคือผู้ครอบครองนาย..

ผลของการหลงตนแบบโง่ ๆ ก็คือ
ถูกนางทอม หมาแม่ลูกอ่อน ขย้ำเกือบตาย
ถ้าเราไม่เข้าไปปรามนางทอมให้เลิกรังแกเด็ก  ป่านนี้จะเป็นยังไงไม่รู้

มันเป็นหมามีเจ้าของแน่ ๆ
เพราะมีผ้าสีส้มและเขียว ผูกคอไว้
กับทั้งนิสัยที่บ่งบอกว่ามีคนเคยเล่นกับมันมาก่อน

มันพลัดหลงกับเจ้าของ ?  หรือถูกทิ้งอย่างจงใจ ?

บ้านเราตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางป่า  มันจะพลัดหลงมาได้ยังไง..

ใจประหวัดไปถึงเรื่องที่มีคนเล่า ว่ามีคนหากินกับหมา
โดยทำทีอาสารับหมาไปเลี้ยงให้ จากคนที่เลี้ยงไม่ไหว
รับเงินรับทองเป็นค่าจ้างมาดิบดี  ก็เอามาปล่อยตามหน้าบ้านคนอื่น
บางทีรับมาหลายตัว หลายเจ้า
ปล่อยพรูออกมาจากถุงเป็นฝูง..

เอ่อ..ใจหมาจริง ๆ

อ้าว..ลืมไป ด่าอย่างนี้ก็กระเทือนหมาอยู่ดี - ต้องขอโทษหมาจริง ๆ นะ

ถึงจะไม่ใช่คนรักหมาแบบฮาร์ดคอร์  ไม่ชอบเล่นด้วย
ไม่เคยเรียก "น้องหมา"  และหมั่นไส้เวลาได้ยินใครเรียก
หรือเห็นใครให้หมาเลียหน้าเลียตา  อุ้มหมาไปซื้อกับข้าวหม้อเดียวกับเรา

แต่ก็ไม่ได้เกลียด..

ไม่เคยทำทารุณกรรมสัตว์
อาจยกตีนทำท่าเตะบ้างในบางครั้งที่มันแอบย่องเข้ามาหยอกกัดส้นเท้า
แล้วหงุดหงิด ไม่มีอารมณ์เล่นด้วย
รำคาญกับนิสัยเป็นเด็กไม่เลิกของหมาฝรั่ง

แต่ก็ยังให้ข้าวมันกิน

ไอ้หลงเข้าข่ายหมาเด็กขี้เล่นที่เรารำคาญเป๊ะ
มาวันแรกก็คาบรองเท้าหายไปหลายคู่ เพื่อเรียกร้องความสนใจ

กระเป๋าเก่า ๆ ห้อยอยู่ที่โรงรถ กี่ใบต่อกี่ใบ  กระโดดคาบลงมาฟัดเละ
หมอนเก่า ลากลงมาตะกาย นุ่นปลิวเกลื่อนบ้าน

โอ้..ถ้าเป็นเด็ก 5 ขวบ 10 ขวบ  คงเล่นกันสนุกสนานไปเลย
แต่คนแก่สองคน.. ความดันขึ้น

ความวิตกจริตเริ่มก่อตัวมากขึ้น
เมื่อไอ้หลงไล่เห่าคนที่ขี่รถผ่านหน้าบ้าน
จะประกาศศักดาอีกรอบว่า ..กูเป็นหมาบ้านนี้นะเฟ้ย..

กับทั้งนังทอมเพิ่งก่อวีรกรรมทำนองนี้มาหยก ๆ
(เรื่องนังทอม เป็นหนังเรื่องยาวอีกเรื่องหนึ่ง  ที่จะเล่าทีหลังหากมีโอกาส)

นังทอมไล่กัดคนที่เดินผ่านหน้าบ้าน
กัดจนเป็นแผลลึก
คนถูกกัดเรียกร้องค่าเสียหายจากเจ้าของของมัน สองพันบาท
เจรจากันอยู่หลายวัน

เรากลัวจะต้องจ่ายเงินแบบเจ้าของนังทอม
เลยต้องหาทางปลดปล่อยไอ้หลงโดยเร็ว

เด็กหนุ่มข้าง ๆ บ้าน ถูกเรียกมาไหว้วาน
เขารับอาสาขมีขมัน  มีถุงปุ๋ยมาด้วย
ใส่ถุงเพื่อไม่ให้มันจำทางได้

"ผมรู้ว่าจะเอามันไปไว้ตรงไหน"
เขาบรรยายความพร้อมของสถานที่แห่งนั้นจนเราอุ่นใจว่ามันจะอยู่รอด
ฉันจินตนาการตาม  สถานที่แห่งนั้นฉันก็รู้จัก เพราะเคยผ่าน
..ไปดีนะเอ็ง..  อย่าว่าใจจืดใจดำเลย
เราไม่พร้อมที่จะรับเลี้ยงใครแบบผูกมัดถาวร

หลังจากไอ้หลงไปแล้วสักสิบวัน
ฉันขับรถออกจากบ้านไปตามเส้นทางปกติ
ฉันเห็นไอ้หลง!

ไอ้หลงแน่ ๆ หน้าตาอย่างนี้ เชือกที่คอยังอยู่
สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือไอ้หลงใส่เสื้อหมา  สวยงาม
ดูร่าเริง มีความสุขแบบหมาเด็กของมัน
เดินไปเดินมาตรวจตราหน้าร้าน

ตรงนั้นเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวริมทาง กลางทุ่ง
เลยบ้านเรามาแค่กิโลเมตรเดียว
หรือว่าเป็นบ้านเก่าของมัน
ที่ตรงนี้ก็ห่างไกลจากที่ที่พ่อหนุ่มนั่นบอกไว้ไม่ใช่น้อยเลย
หรือมันเดินดมกลิ่นกลับมาเองได้
หรือพ่อหนุ่มนั่นหลอกเรา

ต่อจิ๊กซอว์ไม่ถูกเลย..

เอาล่ะ ยังไงเราก็สบายใจ
ที่เห็นมันมีความสุข
ลุแก่โทษทอดทิ้งหมาไปได้..

แวบหนึ่ง..อดคิดไม่ได้ว่า 
บางทีชีวิตเราก็ไม่ต่างจากหมาหลง
บนโลกอันกว้างใหญ่   เรามีสิทธิ์หลงได้ตลอดเวลา

เธอก็หลง  ฉันก็หลง

ไม่ว่าจะเป็นหมาเล็กหรือหมาใหญ่
แม้จะบอกว่าฉันดีกว่า เพราะฉันเป็นคน  
ฉันดีกว่า  เพราะฉันมีบ้าน
แต่จริงหรือ ว่านี่คือบ้านของฉัน..

บ้านของเราแต่ละคน
ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่  มีหรือไม่มี

เราก็มีสิทธิ์หลงได้ตลอดเวลา..