วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ม่านน้ำตา

ในคืนข้างขึ้น
พระจันทร์บอกเด็กน้อยว่า

"เบื้องหลังดวงตาของเธอ
ยังมีม่านน้ำตามากมาย
ปลดปล่อยมันออกไปเสีย
อย่าเก็บกักมันไว้.."

พระจันทร์ยิ้มอบอุ่น
ปลอบโยนให้กำลังใจ

หนูน้อยจึงร้องไห้

น้ำตาไหลพร่างพรู
จนหมดตา
และหมดใจ



เขาคนนั้น

นายสูงส่ง
และนายต่ำศักดิ์
แน่นอน..
ไม่น่าจะเป็นเพื่อนกันได้

แต่เขาก็เป็นเพื่อนกัน

ทั้งที่นายสูงส่งเกลียดนายต่ำศักดิ์
นายต่ำศักดิ์กลัวนายสูงส่ง

เกลียด - กลัว

แต่ก็เป็นเพื่อนกัน

นายสูงส่งเกลียดนายต่ำศักดิ์
เพราะเคยต่ำต้อยมาก่อน

นายต่ำศักดิ์กลัวนายสูงส่ง
เพราะเคยถูกย่ำยีมานาน

ทั้งเกลียด -  ทั้งกลัว
เขาจึงอยู่ด้วยกัน
หนีกันไม่พ้น

อยู่ในคนคนเดียวกัน






วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พระเอก

ในชีวิตจริง
คนเรามักคิดว่าตัวเองเป็นพระเอก
คนอื่น  ไม่ว่าจะเด่นแค่ไหน
ก็ยังเป็นแค่พระรอง  หรือตัวประกอบ

พระเอกคนนี้
ไม่ว่าจะเป็นนายสูงส่ง
หรือนายต่ำศักดิ์
ก็เพราะแบกอัตตา
ตัวกู ของกู จนหลังแอ่น
จึงเป็นพระเอกในใจตัวเองตลอดกาล
แม้บางทีอาจเป็นผู้ร้ายในใจคนอื่น

พระเอก นางเอก มากมาย
โลดแล่นอยู่บนเวที
ที่เรียกกันว่าชีวิต

มีม่านที่เรียกกันว่า "ความทุกข์"
เป็นฉากหลัง
มือและใจ
ไขว่คว้าหาสิ่งที่เรียกกันว่า "ความสุข"
วันแล้ววันเล่า
แต่ก็ยังยากที่จะพบ

บางที..
หากโลกมีพระเอก - นางเอก น้อยลงกว่านี้
ความสุขที่ซ่อนอยู่
ก็จะแสดงตนในทันใด














วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พระจันทร์ร้องไห้

พระจันทร์ดวงนี้
ก็คือพระจันทร์ดวงเดิม
ที่เราเคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก

เป็นพระจันทร์ดวงโต ๆ
ที่เดี๋ยวนี้ไม่โตเท่าตาตอนที่เป็นเด็กมองเห็น
แต่ก็ยังเป็นพระจันทร์ที่อบอุ่น
ชื่นเย็น  ชโลมใจ

สาดแสงกระจ่างฟ้า
แจ่มนวลในวันข้างขึ้น

แปลก...ที่ชั่วข้ามคืน
จากวันเพ็ญเป็นวันแรม
อารมณ์ของพระจันทร์ก็เปลี่ยนไป

สีของพระจันทร์ไม่ใสสว่าง
แต่กลับหม่นมัว
ออกสีเรื่อแดง
พาให้ใจของเราเศร้าหมอง
และคิดว่าพระจันทร์ร้องไห้

ทั้งที่น้ำตา

ตกอยู่ในใจของเราเอง..






วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สุข

ฉันหิ้วถุงกับข้าวพะรุงพะรังเดินออกจากตลาด  นึกโมโหตัวเองว่าลืมเอาตะกร้ากับข้าวใส่ท้ายรถไว้ (อีกแล้ว)  ไม่อยากเพิ่มจำนวนถุงพลาสติก ที่มีอยู่แล้วมากมายมหาศาลในบ้านในครัว ให้มากขึ้นไปอีก   แต่ฉันก็ยังลืมมันเกือบทุกครั้ง...  ลืมได้ลืมดี   ดังนั้น สิ่งที่พอทำได้ในแต่ละครั้งก็คือพยายามยัดกับข้าวหลากหลายชนิด ลงในถุงใบเดียวกันให้ได้มากที่สุด

วันนั้นจอดรถไกลจากตลาดไปราว 100 เมตร  กำลังไขกุญแจเปิดประตูวางกับข้าว  และกำลังจะปิดประตูรถ  เสียงร้องทักที่ฉันฟังไม่ถนัดนักดังขึ้น  ทำให้ชะงักและต้องหันไปมอง  เสียงนั้นมาจากแม่อุ๊ยร่างผอมบางคนหนึ่ง  สวมเสื้อแขนยาวสีหม้อฮ่อม  ผ้าซิ่นพื้นเมืองลายขวางสีน้ำตาลสลับเหลือง เชิงซิ่นสีน้ำเงินจาง  ทั้งเสื้อและซิ่นซีดเก่าจากการใช้งานมานาน  ผมสีเทามุ่นมวยอยู่ข้างหลัง  มีดอกมะลิที่เริ่มเหี่ยว เสียบอยู่ข้างมวยผมช่อหนึ่ง  แม่อุ๊ยหาบกระบุงเล็ก ๆ สองข้าง

ฉันยิ้มให้  พลางชะโงกดูกระบุงของแม่อุ๊ย  ในใจคิดว่าแกคงเรียกซื้อของ  แต่กลับมองไม่เห็นของอะไรสักอย่าง  มีแต่ถุงพลาสติกยับ ๆ ที่ใช้แล้ว ทับสุม ๆ กันอยู่ในกระบุง  ความคิดด้านลบแวบเข้ามาจาง ๆ...จะขอเงินหรือเปล่านะ...เสื้อผ้ามอซอที่มองเห็น เข้ามาช่วยจัดฉากเป็นองค์ประกอบร่วม  เสริมแต่งต่อยอดความคิดด้านลบ  กับทั้งเคยมีประสบการณ์คล้าย ๆ แบบนี้มาก่อนหลายครั้ง   ทั้งจากคนขี้เมาที่เข้ามาทักทายอย่างสนิทสนม  หรือไม่ก็คนสติไม่สมประกอบ ที่บังเอิญหลบหลีกไม่ทัน  จนต้องประจันหน้ากันในระยะประชิด  และฉันมักจะทำใจดีสู้เสือด้วยการยิ้มให้  ทั้งที่ความจริงกลัวแทบตาย  ตามมาด้วยการสนทนาแบบขาด ๆ เกิน ๆ ของคนสูญสติทั้งสองฝ่าย  และหลายครั้งลงท้ายด้วยการขอเงินจากอีกฝ่ายหนึ่ง

แม่อุ๊ยยิ้มตาหยี  ทำหน้าเหมือนคนคุ้นเคย แล้วยังเปิดฉากสนทนาอย่างกับรู้จักกันมาก่อนแสนนาน
"ไปกาดมาก๊ะ"   ฉันยิ้ม พยักหน้ารับ  งง ๆ  ถามกลับไปว่า
"แล้วแม่ไปไหนมา"
"กำลังจะปิ๊กบ้าน  ปู้น.."   แม่ชี้มือไปทางฝั่งแม่น้ำ  บอกว่าบ้านไปทางนั้น
"แม่จะ 80 แล้วนะ  บ่เคยเจ็บเคยไข้"   คำสนทนาเหมือนจะปักหลักคุยยาว  แขนขวายังคงพาดอยู่บนไม้คาน  ความระแวงของฉันยังกรุ่นอยู่ข้างใน  อุ๊ยจะเอาอะไรกันแน่...บ้าหรือเปล่า..หรือว่าเมา..ความคิดอกุศลแวบเข้ามาเป็นระลอก  ลอบสำรวจใบหน้าของอุ๊ย  รอยแป้งขาวจาง ๆ ประอยู่บนแก้มสองข้าง
"ถูกรถชนปีแล้วยังไม่ตายเลย.."   อุ๊ยพูดพลางหัวเราะหึ หึ  เหมือนขำตัวเอง จนฉันหัวเราะไปด้วย
"แม่อยู่กับใครล่ะ"  ฉันถามบ้าง
"อยู่คนเดียว  ผัวเจ๊กก็ตายไปแล้ว"    อ้อ..มีผัวเป็นเจ๊ก
"บ่มีลูกก๊ะ"
"มีคน"   หมายถึงมีคนเดียว
"มันอยู่กับผัวบ้านประตูม้า   บ่ไหว อีนี่เมาตึงวัน"  อุ๊ยนินทาลูกสาวต่อมาอีกหลายประโยค

ฉันเริ่มอึดอัดที่อุ๊ยไม่มีทีท่าว่าจะเลิกคุย  และยังไม่แสดงเจตน์จำนงค์ใด ๆ ทั้งสิ้น จึงตัดบทบอกว่า
"เจ้าจะไปแล้วหนา.."
"เออ ๆ  โชคดีเน้อ...เอานี่ไปกินบ่"   ประโยคหลัง อุ๊ยพูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้  ว่าแล้วก็ล้วงมือควานเข้าไปในกระบุง  ใต้ถุงคอบแคบที่เห็นกองสุมกันอยู่  หยิบถุงดอกอัญชันสีม่วงสดถุงย่อม ๆ ขึ้นมายื่นให้
"บ่เอาเจ้า  บ้านเจ้าก็มี  ยินดีเจ้า.."
"ก๊ะ..แล้วเลี้ยงไก่ก่อ?"
"บ่ได้เลี้ยงเจ้า"


"ก๊ะ  คิดว่าเลี้ยง  แม่จะเอาข้าวเปลือกหื้อ"   อุ๊ยมีทีท่าผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้ให้ของ  จิตอกุศลของฉันยังคิดเลยเถิดต่อไปอีกเหมือนนรกชุมนุม..  ถ้าให้แล้วก็คงจะบอกว่าขาย  หรือไม่ถ้ารับมาเราก็ต้องให้เงินอยู่ดีนั่นแหละ
"ยินดีจ้าดนักเจ้า"  ฉันยกมือไหว้เป็นการขอบคุณและตัดบทไปในตัว

ปิดประตูและล็อครถตามประสาคนเมืองขี้ระแวงแล้ว  ฉันเหลือบมองกระจก  เห็นอุ๊ยยังคงยืนเพ่งพินิจดูป้ายทะเบียนรถฉันอย่างจดจ่อ   ท่าทางอุ๊ยสนอกสนใจและมีสมาธิ ราวกับนักวิเคราะห์ตัวเลข  โดยไม่มีที่ท่าว่าจะเดินจากไป  แววตาเป็นประกายสุกใส มีความหวัง  พลันฉันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ 1   ทำให้อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้  เลขรถของฉันคงมีเสน่ห์ดึงดูดให้แม่อุ๊ยเข้ามาสนทนาด้วยเป็นแน่  และเสน่ห์นั้นคงมีมากเป็นพิเศษถึงขนาดที่แม่อุ๊ยอยากให้นั่นให้นี่กับเจ้าของรถ  หรือพูดอีกทีว่าเจ้าของตัวเลข  เมื่อคืนอุ๊ยอาจจะฝันเห็นเลขตัวนี้  หรือตัวเลขนี้อาจจะสอดคล้องกับอะไรบางอย่างที่อุ๊ยมีอยู่แล้วก็เป็นได้

ฉันเผลอถอนใจยาว...ความรู้สึกโล่งอก  ผ่อนคลาย เหมือนไขปริศนาบางอย่างได้  เหตุการณ์ไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่คิดระแวง   วันนี้พลาดอีกแล้วเรา...ช่างน่าเยาะหยัน   ดีนะที่ยังไม่ได้ทำหรือพูดอะไรโง่ ๆ ออกไป   สัญชาตญาณการปกป้องตัวเองทำให้เรามักระแวงไว้ก่อน ว่าคนอื่นจะเข้ามาทำร้าย หรือมาฉกชิง  มาเบียดเบียนเรา  มา"เอา"จากเรา  ดูเหมือนเราต่างก็พยายามรักษาเนื้อรักษาตัว ระแวดระวังกันมากยิ่ง ๆ ขึ้น  แน่ล่ะที่โลกอันวุ่นวาย สลับซับซ้อน และบางทีก็โหดร้ายเกินคาด ได้ก่อกำแพงแห่งความหวาดกลัว ทึบเทาขึ้นในใจเราทีละนิด ๆ  กระทั่งไม่อาจไว้วางใจใครได้เลย  แม้กระทั่งตัวเอง...

"สุข  แม่ชื่อสุข  เก็บผักบุ้งข้างวัดขาย.."  ประโยคสุดท้ายที่แม่ตะโกนบอกไล่หลังตอนฉันกำลังก้าวขึ้นรถ แว่วอยู่ในหู

แม่ช่างสุขสมชื่อจนน่าอิจฉา  แม้จะอยู่คนเดียว ชีวิตเหมือนโดดเดี่ยวลำเค็ญ  แต่ไม่เห็นแม่จะกังวลกับอะไร  แววตาสุกใสมีความหวังเหมือนเด็ก ๆ   ช่อดอกมะลิบนมุ่นมวยผม  ริ้วรอยแป้งประสีขาวบนแก้มเหี่ยว ๆ  บอกว่าแม่มีความสุขยิ่งกว่าใคร ๆ  แม่เหมือนอรหันต์เดินดิน ที่เทพองค์ไหนไม่รู้ส่งมาสั่งสอนมนุษย์เปลือกหนา  ขี้ระแวง  ช่างคิด  ช่างสงสัยและช่างจินตนาการอย่างฉันอีกครั้งหนึ่งแล้ว

บ่ายวันนี้ขอให้แม่โชคดีกับตัวเลขก็แล้วกัน  แม่จะได้สุขยิ่ง ๆ ขึ้น  ฉันแอบปันพรอยู่ในใจ







วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ป.๑






เด็กนักเรียนประถม ๑ น่ารักที่สุด
พวกหนูเพิ่งสลัดชุด-เอี๊ยมอนุบาล
เด็กหญิงบางคนกระโปรงยาวถึงน่อง
เสื้อขาวใหม่เอี่ยมอ่อง-ตัวโคร่ง

แม่บอกว่าหนูโตเร็ว
ควรใส่เสื้อผ้าเบอร์ใหญ่ล่วงหน้าไว้หน่อย
บางคนตัดพ้อ
หนูไม่เคยใส่เสื้อใหม่พอดีตัว..

ส่วนเด็กชาย
เป็นครั้งแรกที่ผมได้คาดเข็มขัดรัดพุง
ใส่เสื้อเชิ้ตใหม่ตัวใหญ่
ไม่ต้องกลัดกระดุมยึดกางเกง

รองเท้าของผมได้ผูกเชือก
แทนเกือกกระดุมแป๊บแบบเด็ก ๆ

จากที่เดินตัวปลิว ไม่ต้องหิ้วกระเป๋า
พวกหนูต่างก็มีสมบัติส่วนตัว
เป็นกระเป๋าตราโรงเรียน

ในกระเป๋ามีหนังสือส่วนตัว
ภาษาไทย  คณิตศาสตร์

สมุดวาดเขียน  สีเทียน  สีไม้
กล่องดินสอ เล็ก - ใหญ่
มีดินสอ  ยางลบ  กบเหลา
อยู่พร้อมหน้ากันในวันแรก

หนูเป็นนักเรียน  ป. ๑
ตื่นเต้นตะลึงกับชีวิตใหม่ ๆ
พวกหนูกระตือรือร้น  สนอกสนใจ
คุณครูถามอะไร
พวกหนูแย่งกันตอบเร็วไว  เสียงดัง

ข้ามขวบปี
พวกหนูกลายเป็นรุ่นพี่ - ประถม ๒

เอาล่ะซีรุ่นพี่
คราวนี้มีรุ่นน้อง

เด็ก ป. ๒ จึงแสนซน
คุณครูเริ่มบ่น  เด็กซนถูกตี
เด็กลองดีถูกทำโทษ

ไม่อยากเรียน  อยากแต่เล่น
เห็นหนังสือเบือนหน้าหนี
หนูฉีกสมุด - หนังสือ ประดามี
เอาไปพับจรวด เครื่องบิน

พับโน่น พับนี่  เขียนการ์ตูนก็มี
สมุดไม่มีให้ครูตรวจ

วิชาคัดไทย ผมไม่มีใจคัด
วิชาเลขคณิต  ผมก็คิดไม่ค่อยคล่อง

การบ้านหลบหน้า  หลายวิชาหลุดหาย
อุปกรณ์เครื่องใช้
ล้วนหายสิ้นหมด

แต่ผมชอบทดลอง  ดีดลูกหิน ลูกแก้ว
จานบิน  เครื่องร่อน
แผ่นไพ่ใหญ่เล็ก  ไม่ต้องใช้เวลาสอน
ผมก็จำได้ขึ้นใจ

พวกผู้หญิงก็ช่างฟ้อง  ครูขา  ครูขา
ป. ๒  วุ่นวาย  จนคุณครูส่ายหน้า
เอือมระอา

สมุดพกของหนู  ครูเขียนฟ้องแม่
ลายมือผมแย่  ซ้ำยังไม่ตั้งใจเรียน
ปลายปีสอบไล่  คนได้ที่ดียิ้มแย้ม
เรียนชั้น ป. ๒  ยังไม่ต้องซ่อมต้องแซม
คุณครูแถมคะแนนให้

พวกเกเรเกตุง จึงไม่สะดุ้งกันเท่าไร
คะแนนไม่ดี  แต่ก็ยังสอบได้
ได้ที่สุดท้าย  ก็ยังได้เลื่อนชั้น

ครูครับ  ครูขา
ครูอย่าเพิ่งเบื่อพวกหนู
ปีหน้าหนูฝัน  ว่าจะตั้งต้นใหม่

ให้หนูโตหน่อย คงค่อย ๆ รู้ความ
คงหายดื้อ หายพล่าม เรื่องที่เหลวใหล

หนูอยากเป็นคนดี
แต่ขอที่ให้หนูเล่น
หนูอยากรู้อยากเห็น  อยากเล่น อยากดู
อย่าเพิ่งยัดเยียดความรู้
ให้หนูเคร่งเครียดนัก

หนูขอเรียนปนเล่น และขอความรัก
หนูคงไม่ได้ขอมากนัก
หรือขอจนเกินไป

ปีหน้าขึ้น ป. ๓  หนูคงรู้ความมากกว่านี้
คุณครูอย่าเพิ่งบ่นจู้จี้
หนูคงเป็นคนดีขึ้นได้

หนูอยากออกนอกวงกลม
อยากเล่นตม เล่นโคลน
หนูอยากพุ่งกระโจน ลงในธารน้ำใส

หนูรักอิสระ  อยากจะฝันจะใฝ่
หนูอยากท่องเที่ยวไป ในจิตนาการ

ให้หนูไปเถิดนะ  หนูจะไปไม่นาน
แล้วหนูจะกลับบ้าน  มาช่วยพ่อต่อเติม
มาช่วยแม่ทอผ้า  ช่วยพ่อทาสีบ้าน
ขอหนุนตักแม่ฟังนิทาน
ด้วยความเพลิดเพลิน

หนูคงจะก้าวไป  ด้วยใจที่มั่นคง
แม้ทางอาจไม่ตรง
แต่คงไม่หลงทาง

แต่ไม่มีใคร ยอมให้ที่หนูขอ
กลัวหนูมีความรู้ไม่พอ
กลัวทำแม่พ่อเสียใจ

กลัวน้อยหน้าบ้านนั้น
กลัวแข่งขันเขาไม่ได้
พ่อแม่แข่งกันไป
ยังเข็นให้หนูแข่งกัน

หนูจึงต้องเดินตัวเอียง
เรียงแถวไปเรียนพิเศษ
เรียนเพื่อเพิ่มเกรด
ไม่ใช่เพิ่มความรู้..

เรียนตั้งแต่ ป. ๑
ไม่รู้ถึง ป. ไหน
เด็กป .๑  หน้าใส  เริ่มหายไปจากโลก
เหลือเด็ก ป. ๑  อมโศก
แบกโลกไว้ทั้งใบ...





วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ไม่รู้

มนุษย์(ผู้ใหญ่)  มักชอบพูดอะไรตาม ๆ กัน
เช่นชอบถามมนุษย์เด็ก ๆ ว่า
โตขึ้นอยากเป็นอะไร ?

แทบจะทุกคนที่รอดชีวิตจากการเป็นเด็ก
และโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาได้
ล้วนเคยถูกถามอย่างนี้มาแล้วทั้งสิ้น

ฉันเองก็เช่นกัน..
แต่วันนี้ที่เป็นมนุษย์วัยปลาย
ฉันจำไม่ได้ว่าเคยตอบไปว่าอย่างไรบ้าง
คำตอบอาจมีหลายอย่าง
เปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะชีวิตและสิ่งแวดล้อม
หรือแรงบันดาลใจ ในแต่ละช่วงขณะ

จะมีสักกี่คนที่ได้ "เป็น" อย่างที่เคยพูดไว้เมื่อเป็นเด็ก
และถึงแม้จะได้ "เป็น" แล้ว
จะ "ใช่" ด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้
ถ้า "ใช่" ก็โชคดีไป

และสำหรับบางคน
คำตอบนั้นยังล่องลอยอยู่ในสายลม...

แล้วฉันก็ยังเดินตามรอยคนอื่น
โดยการถามลูกตัวเองว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร





เด็กทั้งสองจะรู้สึกรำคาญคำถามแบบนี้ของแม่
เหมือนที่ฉันเคยรู้สึก  หรือเปล่าก็ไม่รู้

รู้แต่ว่าเขาแน่กว่าฉัน
ตรงที่เขาใช้คำตอบเดียวตลอดมา
ไม่ว่าจะถามตอนเล็ก  ตอนโต
ถามตอนอารมณ์ดี  หรืออารมณ์เสีย
ว่า  "ไมรู้"



คำว่า "ไม่รู้" คำเดียว
สามารถปิดเกมคำถามลูกโซ่ของผู้ใหญ่อย่างฉันลงได้ราบคาบ

ฉันได้แต่เตือนตัวเอง
ว่าอย่าไปยุ่งกับเด็กมันอีกต่อไปเลย จะดีที่สุด

โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว
และเขาคงรำคาญเราเต็มที

ทางสายเปลี่ยว

ผีตนหนึ่งแอบซ่อนอยู่ในบ้านของฉันมานาน
นานจนฉันนึกไม่ออก....ว่านานแค่ไหน

มันเป็นผีที่หลอกล่อให้ฉันหลงผิด
กว่าจะรู้ว่าเป็นความหลงผิด
ฉันก็ใช้เวลาไปกับมันนานหลายสิบปี...

มันเป็นผีที่ฉลาด
เวลาที่ฉันทอดท้อ มันก็โปรยดอกไม้ให้ฉันชื่่นใจ
ในขณะเดียวกันมันก็แอบซ่อนยาพิษเอาไว้ในความหอมหวาน...

วันใดที่ท้องฟ้าของฉันมืดมิด
มันก็แอบโปรยหว่านเมล็ดดาวขึ้นไปทั่วท้องฟ้า
หลอกล่อให้จินตนาการที่วูบดับของฉัน
ลุกโพลงขึ้นมาอีกครั้ง
ตามแสงดาวระยิบฟ้า

แต่ทุกอย่างก็เป็นเพียงเหยื่อล่อ..

ฉันตกอยู่ในห้วงรักเหวลึกอันยากจะถ่ายถอน
ฉันเคยวาดหวังคลั่งเพ้อ
ถึงขนาดว่า..ฉันจะมีชีวิตอยู่เพื่อมัน...

มันเป็นทั้งจุดหมายปลายทาง
และวิถีชีวิตของฉัน

ฉันจะเป็นอื่นไปไม่ได้
พูดอีกทีว่า...ฉันไม่มีวันจะเป็นอื่น..





นานเต็มทีแล้วหนอ
ที่วิถีทางของฉันไม่ต่างอะไรกับทางสายเปลี่ยวในสายหมอก
ที่แม้เปิดไฟส่องจ้าเพียงใด
ก็มองเห็นได้เพียงระยะไม่เกิน  ๑๕ เมตร

ที่ไกลไปกว่านั้นคือ อนันต์..ที่ไม่อาจรู้

ฉันอยากหันหลังกลับ
อยากหนีไปจากมัน

ฉันไม่มีอะไรเหลือ  แม้แต่เวลา...

บ่อน้ำของฉันแห้งขอด
ท้องฟ้าของฉันเปลี่ยนสี

ฉันอับจนถ้อยคำ

Hello!




Welcome to Lueng Fai Kham's Blog.